Select Page

ฟู-ขาว-หนาว-อิ่ม ทริปสุดฟินกับหิมะบนเส้นทาง Shoryudo ของญี่ปุ่น

Media Fam Trip สนับสนุนโดย Shoryudo Project

Cover-Shoryudo

เมื่อเอ่ยถึง “ญี่ปุ่น” ภาพในสมองของคนชอบถ่ายภาพแบบผมมี 2 อย่างคือ “ดอกซากุระ” กับ “ใบไม้แดง” (สาบานได้ไม่มีภาพสาวญี่ปุ่นในหัวเล้ยยย) … เมื่อได้รับการเชื้อเชิญจากหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยวในภูมิภาค “Chubu” (ชูบุ) หรือภาคกลางของญี่ปุ่น  เพื่อไปสำรวจและทดลองเดินทางบนเส้นทางท่องเที่ยวภายใต้โปรเจค “Shoryudo” ในช่วงเดือนมกราคม  ซึ่งยังคงเป็นฤดูหนาวของที่นี่ ผมจึงรีบตกปากรับคำทันทีเพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้เจออีกหนึ่งบรรยากาศที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เกี่ยวกับ Shoryudo (โชริวโด) “โชริวโด”

Shoryudo-brochureแปลเป็นไทยง่าย ๆ ตามความคิดของผมคือ “มังกรเหิร” หรือ “มังกรผงาด” อะไรประมาณนั้น เป็นโครงการที่เกิดจากหลายหน่วยงานในภูมิภาคชูบุหรือภาคกลางของญี่ปุ่น ร่วมมือกันสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายและมีมนต์เสน่ห์ไม่แพ้ภาคอื่น ๆ ของญี่ปุ่น สัญลักษณ์ของโชริวโดจะเป็นรูปตัวมังกรที่ลำตัวขดไปมาอยู่บนแผนที่ของภูมิภาคชูบุ เริ่มตั้งแต่ส่วนหางที่จังหวัดมิเอะ ไปจนถึงส่วนหัวมังกรที่จังหวัดอิชิคาวะ รวมแล้วตัวมังกรพาดผ่าน 9 จังหวัดของภูมิภาคนี้ โดยมีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวกว่า 100 อย่าง ทั้งส่วนที่เป็นธรรมชาติอันงดงามตระการตา, สถานที่ทางประวัติศาสตร์, วัฒนธรรมดั้งเดิม, อาหารซีฟู้ดสดใหม่และเนื้อวัวฮิดะอันโด่งดัง หลาย ๆ คนอาจยังไม่คุ้นกับชื่อ “โชริวโด” แต่ถ้าเอ่ยถึง Shirakawa-go (ชิราคาวาโกะ) , กำแพงหิมะ Tateyama หรือลิงแช่ออนเซ็นที่ Nagano (นากาโน่), เมืองโบราณที่ Takayama เชื่อว่าคงเริ่มคุ้นและร้องอ๋อกันแน่ ๆ … ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเส้นทางสาย “โชริวโด” นั่นเอง 

เอาล่ะ รู้จัก “โชริวโด” กันพอหอมปากหอมคอแล้ว … พาสปอร์ตพร้อม, เสื้อกันหนาวพร้อม, กล้องพร้อม ออกเดินทางกันเลยดีกว่า

ผมเดินทางสู่ศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคนี้ นั่นก็คือสนามบินนานาชาติเซ็นแทรร์ ในจังหวัดนาโกย่า … ไฟลท์ที่บินเป็นของการบินไทย ออกจากกรุงเทพฯ ราวเที่ยงคืนครึ่งและถึงนาโกย่าตอนเช้าตรู่ ซึ่งวันที่เดินทางนั้นลมส่งท้ายแรงมากทำให้การเดินทางสู่ญี่ปุ่นในครั้งนี้ใช้เวลาบินเพียง 4 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น … โอ้ว แม่เจ้ามันเร็วมาก

ทันทีที่เดินออกจากประตูเครื่องบินก็รับรู้ได้ถึงความเย็นของอากาศ เป็นไปตามที่ทุกสำนักบอกว่าช่วงที่ผมเดินทางจะมีมวลอากาศหนาวขนาดใหญ่เคลื่อนลงมาจากจีนสู่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียตอนบน (ก็ช่วงเดียวกับที่บ้านเราตื่นเต้นกับอากาศหนาวอยู่ 2-3 วันปลายเดือนมกราคมนั่นแหละครับ) … กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินนานาชาติเซ็นแทรร์เป็นด้วยความสะดวก ตัวสนามบินก็ยังดูใหม่สวยงาม สมแล้วที่ได้รับรางวัลมากมายจากสถาบันด้านการบินนานาชาติ

เมื่อออกมาด้านนอกผมเข้าไปเลือกหยิบเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวที่บูธส่งเสริมการท่องเที่ยว น่าดีใจที่หลาย ๆ จังหวัดมีข้อมูลภาษาไทยด้วย แสดงว่าคนไทยไปเที่ยวเยอะนั่นเอง

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวบนเส้นทางสายโชริวโดครั้งนี้ เป็นแบบผสมผสานคือจะใช้ Shoryudo High Way Bus Ticket ซึ่งเป็นพาสสำหรับใช้รถบัสแบบเหมาซึ่งวิ่งระหว่างเมืองหลักในภูมิภาคนี้แบบไม่จำกัด แถมตั๋วรถไฟไป-กลับสนามบินเซ็นแทรร์-เมืองนาโกย่า และมีบางเมืองที่ไม่มีเครือข่ายรถบัสก็จะใช้วิธีการนั่งรถไฟ ส่วนการเดินทางภายในตัวเมืองต่าง ๆ จะใช้บริการตั๋ววันหรือไม่ก็ taxi นับเป็นรูปการเดินทางที่หลากหลายจริง ๆ

Shoryudo High Way Bus Ticket จะมีให้เลือก 2 แบบคือแบบ 3 วันที่ 7000 Yen และ 5 วันที่ 14000 Yen ครอบคลุมพื้นที่ต่างกัน ซึ่งพาสดังกล่าวต้องซื้อก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นผ่านตัวแทนในประเทศไทยอาทิ JTB (รายละเอียดตาม link นี้) คล้าย ๆ กับ JR pass นั่นแหละ และเมื่อไปถึงญี่ปุ่นก็นำไปแลกเป็นตั๋วหรือแสดงกับคนขับรถบัสเพื่อใช้บริการในเส้นทางที่กำหนด. หลายคนอาจสงสัยว่า อ้าว แล้วแบบนี้ก็ซื้อ JR Pass แบบที่คนไทยคุ้นเคยไม่ดีกว่าเหรอ …

อันนี้ต้องอธิบายก่อนเลยว่าในภูมิภาค Chubu นั้น เครือข่ายรถไฟของ JR ไม่ได้ครอบคลุมในบางเมือง แต่จะมีผู้ให้บริการท้องถิ่นของภูมิภาคอันได้แก่บริษัท Meitetsu ที่ให้บริการรถไฟและรสบัสในหลาย ๆ พื้นที่ อาทิ รถไฟจากสนามบินเซ็นแทรร์ไปยังนาโกย่า หรือบัสที่เดินทางไปยัง Shirakawa-go ก็ล้วนให้บริการโดย Meitetsu ซึ่งหากถือตั๋ว JR pass ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการเดินทางในส่วนนี้อยู่ดี … ดังนั้นหากเพื่อน ๆ เดินทางไปกลับจากสนามบินเซ็นแทรร์ที่นาโกย่า หรือมีแผนที่จะเที่ยวในภูมิภาคชูบุตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป น่าจะลองพิจารณาซื้อพาสดังกล่าวนี้เพิ่มเติม น่าจะช่วยประหยัดเงินได้เพราะแค่ค่าตั๋วรถไฟ ไป-กลับสนามบิน และบัสจากเมือง Takayama หรือ Kanazawa ไปยัง Shirakawa-go ก็เกือบคุ้มกับค่าบัสแล้ว สำหรับรายละเอียดของพาสและอัตราค่าโดยสารรวมถึงตารางเวลารถบัส สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์ของ Meitetsu ตาม link นี้ครับ

ผมเริ่มใช้สิทธิ์ผู้ถือ Highway Bus Ticket โดยนำพาสไปแลกเป็นตั๋วรถไฟแบบ Limited Express สำหรับเข้าเมือง Nagoya ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางราวครึ่งชั่วโมง ถ้าอยากนั่งแบบ First Class สามารถจ่ายส่วนต่างที่เรียกว่า uSky อีกคนละ 360 Yen โดยจะใช้เวลาน้อยกว่าราว 5 นาที แต่ที่นั่งจะสะดวกสบายหรูหรากว่า ทั้งนี้สถานีปลายทางคือ Nagoya station ซึ่งเป็นชุมทางของรถไฟสายต่าง ๆ รวมถึง JR และ Shinkansen ด้วย

Counter สำหรับแลกตั๋วอยู่ตรงหน้าทางเข้าสถานีรถไฟ

Japan-shoryudo-1

สามารถเลือกนั่ง first class โดยจ่ายเพิ่มอีก 360 Yen ครับ

Japan-shoryudo-6

คูปองด้านบนขวาถูกแลกเป็นตั๋วรถไฟแล้ว เหลือใช้ได้อีกหนึ่งครั้ง (ไว้สำหรับขากลับ)

Japan-shoryudo-7

ที่นั่งรถด่วนขบวน first class

Japan-shoryudo-9

เสียบตั๋วไว้แบบนี้เลยครับ เจ้าหน้าที่จะได้เห็นชัดเวลาเดินตรวจ

Japan-shoryudo-10

เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Nagoya ผมใช้สิทธิ์ของพาสอีกครั้งโดยนำไปแลกตั๋วรถบัสทางด่วน (Highway Bus) เพื่อเดินทางไปยังเมือง Toyama (โทยามะ) ซึ่งอยู่ริมอ่าวทางตอนบนของภูมิภาคนี้ โดยจะใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง 40 นาที จะว่าไปการเดินทางแบบนี้ก็เหมาะดีเพราะมาถึงเหนื่อย ๆ ก็จะได้นอนยาวบนรถบัส จากนั้นค่อย ๆ เที่ยวจากตอนบนไล่ลงล่างมาเรื่อย ๆ
ก่อนขึ้นรถ ผมซื้ออาหารกล่องสำหรับทานเป็นอาหารเที่ยงบนรถบัสด้วย เพราะระหว่างทางจะจอดที่จุดพักรถเป็นเวลาสั้น ๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น … ส่วนคนที่จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีให้บริการที่ตอนท้ายของรถ

Office ที่แสดงบัตรเพื่อแลกเป็นตั๋วสำหรับขึ้นรถบัสครับ

Japan-shoryudo-11

ชานชลาก็อยู่ใกล้ ๆ ห้องขายตั๋วเลย มีเวลาและปลายทางบอกชัดเจน

Japan-shoryudo-12

แม้ผมจะค่อนข้างเพลียเนื่องจากมีเวลานอนบนเครื่องราว 2 ชั่วโมงเศษ (ก็คุณป้าการบินไทยของเราบินเร็วซะขนาดนั้น) แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูสองข้างทางตลอด … เมื่อรถออกเดินทางมาได้ราวชั่วโมงเศษก็เริ่มเห็นปุยหิมะเกาะอยู่บนยอดไม้และตามพื้นดิน ทำให้รู้ว่าเราเริ่มเข้าสู่พื้นที่สูงแล้ว (อันที่จริงไม่เห็นเลยว่ารถต้องขึ้นเนินชัน ๆ เพราะถนนของเขาใช้วิธีเจาะอุโมงค์ทำให้ไม่ต้องทำถนนขึ้นลงเขาแต่ละลูก)

Japan-shoryudo-14

ยิ่งเดินทางไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเห็นหิมะก่อตัวหนาขึ้น … บัดนี้ทัศนียภาพสองข้างทางถูกเติมด้วยสีขาวของหิมะจนแทบจะไม่เห็นว่าสภาพเดิมเป็นอย่างไร ยิ่งหลาย ๆ จุดเป็นหุบเขาหรือทะเลสาบยิ่งดูสวยงามจับใจจริง ๆ ขับไปอีกไม่นานเราก็เริ่มเจอกับหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้คนขับรถต้องจอดรถเพื่อนำโซ่มาพันล้อ นอกจากนี้บางช่วงของการเดินทาง ยังต้องตามหลังรถกวาดหิมะทำให้รถต้องค่อย ๆ ขยับไปเรื่อย ๆ เพราะห้ามแซง ทำให้เมื่อถึงจุดพักรถคนขับต้องประกาศแจ้งว่าการเดินทางของเราวันนี้จะ delay ค่อนข้างมาก

วิวริมทางสวยจนนอนไม่ลงครับ

Japan-shoryudo-21

โปรโมชั่นเช่า pocket WIFI ในญี่ปุ่น รับส่วนลดพิเศษเพียงวันละ 200 บาทสำหรับ unlimited data package เพียงกรอก promotion code 9mot

Screen-Shot-2559-05-11-at-11.15.48-PM

ที่จุดพักรถหิมะตกหนักมาก ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณพายุฝนนั่นเอง คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ลงจากรถเพราะอากาศด้านนอกหนาวมาก แต่กระเหรี่ยงไทยแบบเราไม่พลาดครับ ลงไปถ่ายภาพกันสนุกสนาน เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าหนาวไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว

Japan-shoryudo-25

Japan-shoryudo-24

ออกจากจุดพักรถแล้ว รถยังคงวิ่งด้วยความเร็วจำกัดเพื่อความปลอดภัย แต่ก็แลกมาด้วยการได้ชมวิวสวย ๆ ริมทางแบบไม่มีเบื่อ และกว่าจะถึงจุดหมายของเราที่เมือง Toyama (โทยามะ) ก็ตกเย็นแล้วทำให้กำหนดการท่องเที่ยวบางส่วนต้องตัดออกไป

ถึง Toyama แค่เห็นหิมะจากในรถก็หนาวแล้ว

DSC_0828

DSC_0837

จากจุดลงรถบัสใกล้ ๆ สถานีรถไฟหลักของเมือง เราเดินลากกระเป๋าผ่านกองหิมะ ไปยังโรงแรมเพื่อฝากกระเป๋าไว้

หิมะตกเยอะแบบนี้ บางส่วนจะละลายกลายเป็นน้ำแข็งทำให้ลื่นมากครับ ระว่างทางเดินจะมีท่อน้ำเล็ก ๆ ปล่อยน้ำเพื่อละลายหิมะ แต่บางจุดก็จำเป็นต้องเดินลุยกองหิมะบ้าง

DSC_0842

DSC_0847

มาคิดได้ตอนถึงโรงแรมว่าทริปนี้พลาดมากเรื่องการเตรียมรองเท้า เพราะเป็นรองเท้าหนังที่ไม่กันน้ำแถมพื้นยังเรียบเกินไป ไม่เหมาะกับการเดินบนพื้นที่หิมะเริ่มแข็งตัว เนื่องจากพื้นจะลื่นมาก ๆ และนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยต้องหมดสนุกเพราะบาดเจ็บจากการลื่นหกล้มระหว่างการท่องเที่ยว ดังนั้นผมแนะนำเลยว่าถ้าทราบว่าต้องเจอสภาพอากาศแบบนี้ให้เตรียมรองเท้าบู๊ทแบบกันน้ำและกันลื่นมาด้วย

เมื่อฝากของเรียบร้อยแล้ว ไกด์ได้นำเราขึ้นรถรางไปชมพิพิธภัณฑ์กระจกประจำเมืองโทยามะ ซึ่งเพิ่งสร้างมาได้ไม่นานและอยากแนะนำให้คนที่มีใจรักในศิลปะได้รู้จักกัน …

เดินไปขึ้นรถราง เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์

Japan-shoryudo-40

ภายในพิพิธภัณฑ์ (บริเวณที่เป็นห้องแสดงงานแก้วจะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ)

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงศิลปะเครื่องแก้วจากศิลปินทั่วโลก โดยจุดเริ่มต้นมาจากการที่เมืองโทยามะมีชื่อเสียงในด้านการผลิตยา ซึ่งต้องใช้แก้วสำหรับเป็นภาชนะบรรจุจำนวนมาก จึงมีอุตสาหกรรมผลิตแก้วเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ Kengo Kuma เป็นคนเดียวกับที่ออกแบบ stadium ที่จะใช้ในกีฬาโอลิมปิคโตเกียวในปี 2020 … ภายในตกแต่งด้วยวัสดุท้องถิ่น อาทิ ต้นสนไซเปรสที่พบได้มากในภูเขา Tate Yama แถบ Toyama นอกจากนี้ในเมืองนี้ยังมีโรงเรียนสอนออกแบบแก้วด้วย เมื่ออกแบบแล้วก็จะถูกคัดเพื่อมาแสดงที่นี่ โดยงานที่แสดงจะเป็นงานร่วมสมัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นไป

ออกจากพิพิธภัณฑ์ เราเดินทางต่อไปยังสวนสาธารณะฟุกังอึนกะคังซุย (Fugan-ungakansui Park) ซึ่งเป็นสวนสวยริมน้ำ พื้นที่กว้างขวาง และในช่วงหน้าหนาวแบบนี้สีขาว ๆ ฟู ๆ ของหิมะทำให้บรรยากาศที่นี่สวยงามราวกับสวนสวรรค์ทีเดียว ยิ่งได้รับการประดับประดาไฟยามค่ำคืนยิ่งทำให้ที่นี่สวยตรึงตามาก ๆ … แม้อากาศจะหนาวจัดผมก็อดไม่ได้ที่จะบันทึกความสวยงามยามค่ำของที่นี่ไว้ ก่อนที่จะหลบเข้าไปดื่มกาแฟร้อน ๆ คลายหนาวที่ Starbucks สาขา Toyama ที่ได้รับรางวัล Best Design Award ประจำปี 2008 นับเป็นสาขาหนึ่งของ Starbucks ที่คุ้มค่าต่อการอุดหนุนอย่างยิ่งเพราะวิวที่นี่ทำให้รู้สึกว่าค่ากาแฟถูกไปเลย

Japan-shoryudo-42




ออกจากสวนฟุกังอึนกะคังซุย (ชื่อจำยากจังวุ้ย) เราเดินทางไปร้านซูชิแนะนำประจำเมืองชื่อ Yumehachi เป็นร้านเล็กๆ อยู่บนถนนสายหลักใกล้สถานีรถไฟ Toyama คนขายเป็นคุณป้าชาวญี่ปุ่นอารมณ์ดี ค่อย ๆ บรรจงเสิร์ฟซูชิหลากหลายให้เราทีละชิ้น … แม้ผมจะไม่ใช่คออาหารญี่ปุ่นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความสดของซีฟู้ดแต่ละอย่างที่ใช้ทำซูชิที่นี่ เพราะรสชาติอร่อยและไม่คาวเลย โดยเฉพาะคำที่เป็นปลาหมึกและกุ้งหวานอร่อยมาก ๆ ..

ทั้งนี้วัตถุดิบที่ใช้ทำซูชิในเมืองนี้มาจากอ่าวโทยามะที่เป็นทรัพยากรทางทะเลของที่นี่ ข้าวก็ทำจากข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในโทยามะ เรียกได้ว่านี่คือสวรรค์ของคนชอบ Sushi จริง ๆ … ส่วนวิธีการสั่งให้ลองชุด “โทยามะวัง ซูชิ” ซึ่งประกอบด้วยหน้าซีฟู้ดหลากหลายอาทิ ปลาต่าง ๆ, ปลาหมึกอุตารุอิกะ, กุ้งขาวชิโระเอบิ ที่ราคาราว 2000-3500 Yen ต่อ 10 ชิ้น และหากชอบเมนูไหนค่อยสั่งเพิ่มเป็นคำ ๆ ไป สำหรับที่ร้านนี้ราคา 3000 Yen มีน้ำซุบปลาหอมอร่อยตบท้ายให้ด้วยครับ ซึ่งคุณภาพกับราคาแบบนี้หาได้ไม่ง่ายที่สยามบ้านเรา … ค่อย ๆ นั่งทานซูชิไป ฟังเรื่องราวของเมือง Toyama ไป ได้เกร็ดความรู้ว่าเมืองนี้มีประชากรราวล้านคน มีเทือกเขา Tateyama สูงเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น มีผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นได้แก่ข้าว, ดอกทิวลิป, ปลาหางเหลือง และนิสัยคนที่นี่จะขยัน ชอบฝากเงิน ทำงานทั้งชายและหญิงจนสุภาษิตญี่ปุ่นกล่าวว่าถ้าจะแต่งงานให้แต่งานกับสาว Toyama

Japan-shoryudo-49

ต้องยอมรับเลยว่ามื้อนี้เป็นมื้อซูชิที่อิ่มทั้งท้องและความรู้จริง ๆ

จากร้านเดินกลับไปยังโรงแรม TOYOKO IN TOYAMA EKI MAE ซึ่งเป็นที่พักของเราก็ไม่ไกลครับ แต่อากาศหนาวจัดแบบนี้กว่าจะเดินถึงก็ต้องค่อย ๆ ย่องไปเพราะก้าวขาไม่ค่อยออกแถมพื้นยังลื่นมากด้วย

โรงแรมนี้เป็นลักษณะ Business Hotel ทำเลถือว่าดี ห้องพักก็เล็ก ๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่นเค้าล่ะ แต่ก็สะอาดและมีสิ่งอำนวยให้ตามสมควร (ผมว่าน่าจะมีน้ำดื่มเพิ่มให้สักขวดในห้อง)

ห้องพักเล็ก ๆ ของผมคืนนี้ 

Japan-shoryudo-53

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้าแบบเรียบง่ายที่ห้องโถงด้านล่างโรงแรมแล้ว เรามีแผนจะต้องเดินทางไปยังเมือง Kanazawa (คานาซาวะ) ในจังหวัด Ichikawa (อิชิคาวะ) ด้วยรถบัส แต่ทว่าสภาพอากาศที่ย่ำแย่ หิมะตกหนักมาก ทำให้รถบัสต้องยกเลิกตลอดทั้งวัน เราจึงต้องเปลี่ยนแผนนั่ง Shinkansen ไปแทน ทั้งนี้เพื่อน ๆ ที่เดินทางมาในช่วงหน้าหนาวอาจต้องเตรียมการเรื่องแผนสำรองไว้ด้วยในกรณีที่อาจเจอสถานการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตามผมถามทางเจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลว่าเหตุการณ์ที่รถจะงดตลอดทั้งวันนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลเกินไปนะครับ ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูอื่น ๆ หรือช่วงที่หิมะหยุดตกแล้วการเดินรถก็เป็นไปตามตารางเวลาตามมาตรฐานญี่ปุ่นเค้าล่ะครับ

หิมะตกหนักจนรถบัสต้องยกเลิกทั้งวัน

Japan-shoryudo-59

เมื่อได้ตั๋ว Shinkansen แล้วก็เป็นอันสบายใจ ขึ้นไปยืนรอที่ชานชลา (กลัวไม่ได้ไป อิอิ) ทำให้ได้ทราบอีกเรื่องเพิ่มเติมว่าระบบการทำงานของรถไฟหัวจรวดชินคันเซ็นนั้นถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานที่สภาพอากาศย่ำแย่ด้วย อย่างในช่วงหิมะตกแบบนี้จะมีการฉีดน้ำลงไปบนรางเพื่อละลายหิมะ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมค่าโดยสารของรถไฟ Shinkansen จึงสูงกว่ารถไฟทั่วไป

วันนั้น Shinkansen มา late ซึ่งเป็นเหตุการที่เกิดไม่บ่อยครั้งนัก  แต่ยังดีที่ไม่ปิดบริการ

Japan-shoryudo-65

จากเมือง Toyama รถไฟใช้เวลาไม่นานก็ถึงเมือง Kanazawa ที่เป็นเมืองหลวงของจังหวัด Ishikawa ระหว่างทางได้เห็นบรรยากาศที่แตกต่างกันทั้งฟ้าใสเห็นพระอาทิตย์ และบางจุดที่หิมะตกหนักมากจนขาวโพลนไปหมด

ทิวทัศน์ระหว่างทาง

Japan-shoryudo-66

แต่เมื่อมาถึงเมือง Kanazawa ก็ค่อยอุ่นใจหน่อยเพราะฟ้าค่อนข้างเปิด แม้จะไม่ใสกิ๊กแต่ก็ไม่ถึงกับมืดทึม … ผมจัดแจงนำกระเป๋าเดินทางใส่ตู้ locker ที่สถานีรถไฟ (หากจะใช้บริการตู้ล็อกเกอร์ที่ญี่ปุ่นให้แลกเหรียญ 100 Yen ไว้เยอะ ๆ ครับเพราะตู้ไม่รับเหรียญอื่น สำราคาสำหรับกระเป๋าใบใหญ่ก็ราว 600-700 Yen ครับ) จากนั้นซื้อตั๋ววันสำหรับเดินทางภายในเมือง Kanazawa โดยวันนี้มีจุดหมายคือสวน Kenroku-en ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสามของสวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว … ทั้งนี้จุดขึ้นรถบัสก็อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟนั่นเอง นับว่าสะดวกมาก แต่กว่ารถบัสสายที่วิ่งตรงไปยังสวนจะมาถึงก็ late ไปค่อนข้างนาน อาจเป็นเพราะไม่สามารถวิ่งได้แบบปกติเนื่องจากมีหิมะสะสมบนถนนนั่นเอง …

พาส 1 วัน สำหรับนั่งรถภายในเมือง Kanazawa ครับ

Japan-shoryudo-70

บัสบางคันหน้าตาน่ารักเชียว คนขับเป็นผู้หญิงด้วย

Japan-shoryudo-71

น่าแปลกใจนิดหน่อยที่แม้จะเลือกสายที่เป็น Kenroku-en shuttle แต่รถคันดังกล่าวก็ยังแวะหลาย ๆ ป้ายระหว่างทาง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า

ป้ายที่ต้องลงเพื่อชมสวน Kenroku-en จะมี 2 ป้ายหลัก ๆ แต่เพื่อให้จำง่ายก็ให้ลงป้ายที่ชื่อเดียวกับสวนได้เลย และไม่ต้องงงว่าหาสวนไม่เจอ เพราะจากป้ายเดินตามทางมาอีกเล็กน้อย พอเลี้ยวซ้ายก็จะเริ่มเห็นปากทางเข้าสวนแล้วล่ะครับ ทั้งนี้ค่าเข้าชมสวนสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่คนละ 310 Yen

บริเวณทางเข้าสวนครับ แค่นี้ก็สวยจนรัวชัตเตอร์ไม่หยุดแล้ว

Japan-shoryudo-72

สวนแห่งนี้สร้างโดยตระกูล Maeda ซึ่งปกครองเขต Kaga ในสมัยที่ประเทศญี่ปุ่นยังปกครองด้วยโชกุน … และตรงข้ามกับสวนนี้ยังมีปราสาท Kanazawa ซึ่งเดิมเคยเป็นที่อาศัยของเจ้าเมืองตระกูล Maeda ด้วย …

ฝั่งตรงข้ามกับสวนจะมีสะพานเดินไปยังปราสาท Kanazawa

Japan-shoryudo-78

ในแต่ละฤดูสวนแห่งนี้ก็จะมีความงดงามแตกต่างกันออกไป สำหรับฤดูหนาวแบบนี้หิมะที่ปกคลุมต้นสนรวมถึงพื้นทั้งหมดจนเป็นสีขาวไปทั่ว น้ำในบึงกลายเป็นน้ำแข็งเนรมิตให้สวนแห่งนี้งดงามราวกับเดินอยู่บนสรวงสวรรค์เลยจริง ๆ

Japan-shoryudo-91

Japan-shoryudo-86

Japan-shoryudo-88

Japan-shoryudo-84

สำหรับ highlight ของที่อยู่ตรงโคมไฟหินที่ตั้งอยู่ริมบึงขนาดใหญ่ ซึ่งใคร ๆ ก็ต้องมาถ่ายภาพที่มุมนี้ … ส่วนผมก็ไม่พลาดครับ แต่ผมว่ามุมอื่น ๆ ก็สวยงามไม่แพ้กัน รวมถึงลานกว้างริมบึงที่สามารถมองเห็นเรือนไม้ทรงญี่ปุ่นและเกาะเล็ก ๆ กลางบึงลักษณะคล้ายเต่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวด้วย

Japan-shoryudo-101

Japan-shoryudo-131




ออกจากสวนที่ประตูอีกด้านหนึ่ง ระหว่างรอรถก็เก็บภาพไปเรื่อย

Japan-shoryudo-173

ผมใช้เวลาเดินชมและถ่ายภาพในสวนอยู่พักใหญ่ก็เดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ เพื่อทานอาหารเที่ยงซึ่งเป็นของชื่อดังประจำถิ่นอันได้แก่ Kanazawa Curry ที่ร้าน GoGoCurry ซึ่งเป็นเนื้อประเภทต่างๆ ชุบแป้งทอดราดแกงกะหรี่แบบชุ่ม ๆ มีให้เลือก 3 ขนาด S,M,L ผมเลือก M ปรากฏว่าทานแทบไม่หมดครับ มันจานใหญ่มาก ถ้ากินไม่จุจริง ๆ แนะนำให้เลือก S ก็พอครับราคาราว 600-700 Yen … สำหรับรสชาติก็ถูกปากดีครับ ยิ่งใครชอบเครื่องแกงกะหรี่น่าจะยิ่งชอบ

เจอจานนี้เข้าไปอิ่งแปร่เลย

Japan-shoryudo-181

โปรแกรมสำหรับบ่ายวันนี้เราจะเดินทางด้วยรถไฟสาย JR ไปยังเมือง Wakura Onsen ซึ่งเป็นเมืองริมอ่าว Nanao ทางตอนเหนือของจังหวัด Ishikawa … เห็นชื่อเมืองคงไม่ต้องบอกว่าที่นี่เป็นเมืองแห่งน้ำพุร้อน และว่ากันว่าเป็นแหล่งแช่ออนเซ็นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นซะด้วย…

ทั้งนี้เรียวกัง Notoraku Onsen ที่พักของเราได้ส่งรถบัสมารับถึงสถานี ซึ่งใช้เวลาเดินทางราว 5 นาทีไปยังโรงแรม … ดูจากภายนอกเรียวกังนี้เป็นตึกสูงดูธรรมดามาก (คล้าย ๆ กับโรงแรมทั่วไปในญี่ปุ่นที่ดูภายนอกมักจะธรรมด๊า ธรรมดา) แต่พอเข้าไปด้านในก็เห็นได้ถึงความโอ่โถง และถัดไปจาก reception เล็กน้อยเป็น living area ที่มองเห็นวิวของอ่าว Nanao ด้านนอก แต่ที่ผมชอบมากคือสระว่ายน้ำที่บัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะโดยรอบและไม่มีร่องรอยของการเดินย่ำเพราะบริเวณนั้นถูกปิด ทำให้เห็นหิมะขาว ๆ ฟู ๆ สวยได้ใจจริง ๆ

ที่พักคืนนี้ของผมครับ เป็นเรียวกังตั้งอยู่ริมอ่าว Nanao

Japan-shoryudo-203

โปรแกรมไปชม Aquarium เย็นวันนี้ถูกงดไปเพราะความล่าช้าของการเดินทาง เราจึงถือโอกาสเดินชมเมืองแทน โดยเรามุ่งหน้าไปยัง จตุรัสฮิโรบะ (Hiroba public square) ซึ่งมีหอนาฬิกากับบ่อน้ำพุร้อนเล็ก ๆ และศาลเจ้า ที่ให้นักท่องเที่ยวได้มาขอพรเพื่อความมั่งคั่งกัน แน่นอนว่าผมไม่พลาด อิอิ

Japan-shoryudo-221

Japan-shoryudo-226

ขากลับผมต้องเดินฝ่าหิมะที่ตกอย่างหนัก เริ่มรู้สึกหนาวจัดเพราะรองเท้าเริ่มเปียกไปถึงด้านใน จึงต้องเร่งฝีเท้าเพื่อกลับไปรับอากาศอุ่นๆ ในโรงแรม และจำเป็นต้องนำถุงเท้าไปพาดบนโคมไฟในห้องเพื่อให้แห้ง (ไม่สมควรเลียนแบบนะครับ แต่ที่พักในญี่ปุ่นไม่ยักกะมี heater แบบทางยุโรปก็เลยต้องใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน)

รีบเก็บภาพก่อนจะมีส่วนเกินไปโปะบนโคมไฟ

Japan-shoryudo-228

Lobby  ยามค่ำ อื้ออหือออ… สวยซะ

Japan-shoryudo-230

Japan-shoryudo-231

ค่ำวันนี้เรามีนัดทานอาหารค่ำแบบมื้อใหญ่ (Japanese set) กันที่ห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรม … ตอนมาถึงอาหารถูกวางไว้เกือบครบแล้วตามคำร้องขอ เพราะเราอยากถ่ายภาพแบบเต็มที่ หากนำมาเสิร์ฟทีละอย่างตามประเพณีนิยมคงต้องทานไปหยุดไป เสียอรรถรส … หรือพูดอีกอย่างก็คือ อยากรีบถ่ายภาพให้เสร็จจะได้ทานแบบไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ 555

Japan-shoryudo-236

ห้องอาหารของโรงแรมเป็นสไตล์ญี่ปุ่น มีทั้งแบบนั่งบนเสื่อ หรือจะเลือกแบบประยุกต์นั่งโต๊ะในห้องพิเศษแบบเราก็ได้ เห็นอีกกรุ๊ปนั่งเสื่อริมหน้าต่างมองวิวสวนที่ปกคลุมด้วยหิมะไป ทานมื้อค่ำไป มันฟินมาาก

สำหรับรสชาติอาหารอร่อยถูกปากมากครับ กลายเป็นว่าแซลมอนย่างที่ปกติเป็นอาหารโปรดสุดตอนอยู่เมืองไทยกลายเป็นของที่อร่อยน้อยที่สุดเลย 555 … ค่ำวันนั้นได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดกับชาวญี่ปุ่นที่เคยอยู่เมืองไทย ได้ความรู้ใหม่ๆ เยอะเลย

หลังมื้ออาหารค่ำ ได้เวลาแช่ออนเซ็นแล้ว … ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในการใช้บริการออนเซ็นสาธารณะสำหรับผมเลยล่ะ เพราะตอนเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วงนั้นใช้บริการห้องส่วนตัว อิอิ .. อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่ค่อยมีคนไทยจึงไม่น่าเขินมากนัก สวมชุดยูกาตะจากห้องแล้วเดินเข้าไปในออนเซ็นที่แยกหญิงชาย จัดแจงเก็บของไว้ในล็อกเกอร์แล้วเดินแบบเนียน ๆ เข้าไปใช้บริการ … ในห้องเป็นบ่อขนาดใหญ่ในร่มมีคนไม่เยอะนัก ผมล้างตัวเรียบร้อยก็ลองนั่งจุ่มเท้าในบ่อก่อนที่จะค่อย ๆ คืบคลานลงไปเรื่อย ๆ … อู้ววววอุ่นสบายดีจัง แต่เอ๊ะมีประตูออกไปด้านนอกด้วย เดินไปสำรวจดีกว่า … และแล้วก็เจอบ่อแบบ open air ไม่มีคนเลย (คงไม่มีใครอยากสัมผัสความหนาว) งานนี้สบายเลยครับ แช่อย่างสบายใจ มีหิมะตกลงมาปรอย ๆ บนหน้ามันช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้

หากเพื่อน ๆ มีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาว แนะนำเลยครับว่าต้องหาโอกาสแช่ออนเซ็นในบ่อกลางแจ้งสักครั้ง รับรองว่าติดใจกลับไปนอนหลับสบายแบบผมแน่นอน

เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางกลับไปยัง Kanazawa เพื่อต่อรถบัสไป Shirakawa-go ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน highlight ของทริปนี้ .. สถานที่ขึ้นรถบัสก็ยังคงอยู่หน้าสถานีรถไฟเช่นเดิม สำหรับชานชลาที่จะไป Shirakawa-go นั้นอยู่ตรงหน้า Starbucks พอดีหาไม่ยากเลย โดยผมใช้ Highway Bus Ticket จึงไม่ต้องเสียค่ารถบัสอีกแล้ว แต่ถ้าไม่มีพาสต้องซื้อตั๋วไปกลับที่ราคา 3,290 Yen (หากเดินทางจากเมือง Takayama ตั๋วราคา 6,070 Yen) ดังนั้นเพื่อน ๆ ที่มีโปรแกรมเที่ยว Shirakawago โดยผ่าน Takayama น่าจะซื้อพาสแบบ 3 วันที่ราคา 7,000 Yen เพราะคุ้มค่ากว่าเพราะสามารถใช้เดินทางไปยังเมืองอื่น ๆ ได้ด้วยครับ
บัสใช้เวลาเดินทางจาก Kanazawa ไปยัง Shirakawa-go ราว 1 ชั่วโมง ซึ่งตลอดทางนั้นวิวสวยงามจริง ๆ แต่วันนี้มันยอดเยี่ยมตรงที่อากาศดีมาก ฟ้าสีน้ำเงินใสกิ๊กตัดกับปุยหิมะขาว ๆ ที่อยู่บนพื้นและที่เกาะอยู่ตามยอดไม้ …

Japan-shoryudo-243

Japan-shoryudo-244

ทันทีที่รถบัสเข้าสู่เขตหมู่บ้าน Shirakawa-go ผมก็หยิบกล้องออกมาถ่ายภาพอย่างตื่นเต้น ทั้งกล้องใหญ่ Gopro และมือถือ เรียกได้ว่าถ่ายแทบไม่คิดชีวิตเลย เพราะบรรยากาศที่รายรอบด้วยบ้านหลังคาทรงสามเหลี่ยมมุงหญ้า นี่มันหมู่บ้านในนิทานชัด ๆ ยิ่งหิมะขาวฟูท่ามกลางแดดอุ่น ๆ แบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก รู้สึกตื้นตันจนอยากจะร้องไห้จริง ๆ (อารมณ์ประมาณนางงามได้รับมงกุฎนั่นแหละ)

วิวแบบนี้คือมันดีงามพระรามเก้ามาก ๆ

Japan-shoryudo-248

จุดลงรถบัสเป็นฝั่งของหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในเขตมรดกโลก เราจัดแจงฝากของที่ locker จากนั้นก็เดินข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งของหมู่บ้านที่เป็นเขตอนุรักษ์ภายใต้การกำกับของ USNESCO … แต่กว่าจะข้ามสะพานได้ใช้เวลานานมาก ไม่ใช่เพราะมันเดินยากอะไรหรอกครับ แต่รอบ ๆ ตัวมันสวยไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพตรงหน้าไว้ให้ครบถ้วน

ที่หมู่บ้าน Shirakawa-go มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตา การเดินเที่ยวในหมู่บ้านก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนครับเพราะบ้านแต่ละหลังวางตัวห่าง ๆ กัน มีถนนพาดไปมาไม่มากนัก จะว่าไปเดินแบบผ่าน ๆ ไม่นานก็ทั่วแล้ว แต่ว่าด้วยความที่บ้านแต่ละหลังมันน่ารักจึงใช้เวลาถ่ายภาพกันนานกว่าจะผ่านไปได้ ยิ่งช่วงนี้หิมะบางส่วนละลายแต่ด้วยอุณหภูมิที่ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งทำให้ตรงชายหลังคาเกิดหยดน้ำรูปกรวยแหลมเต็มไปหมด แม้จะดูน่ากลัวอยู่บ้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปเก็บภาพใกล้ ๆ

Japan-shoryudo-301

Japan-shoryudo-307

Japan-shoryudo-296




วันนี้เราทานมื้อเที่ยง Houba Miso Set Lunch กันที่ร้านอาหารในหมู่บ้าน แน่นอนว่าหนึ่งในเมนูเด่นคือเนื้อวัวฮิดะชื่อดังที่หวานนุ่มลิ้นจริง ๆ อีกสองอย่างที่ผมชอบคือปลากับสาหร่ายครับรสชาติหวานกลมกล่อมดี ..

ไหน ๆ มาเที่ยวแล้ว ทำความรู้จักกับ Shirakawa-go กันหน่อยครับ

หมู่บ้านแห่งนี้มีประชาชนราว 1,900 คน โด่งดังขึ้นเนื่องจากเมื่อคศ 1935 สถาปนิกชาวเยอรมันมาสำรวจเพราะได้ข่าวว่ามีสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งเพราะไม่ใช้ตะปูในการก่อสร้างบ้าน แต่จะใช้วิธีการมัดด้วยเชือกทำให้บ้านมีความยืดหยุ่นรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ด้วย หลังจากกลับไปแล้วสถาปนิกคนนี้นำไปเล่าต่อจนทำให้มีคนหลั่งไหลมาชมมากมายขึ้นเรื่อย ๆ จนต่อมาได้รับการบรรจุเป็นมรดกโลก … ทั้งนี้หลังคาของบ้านแต่ละหลังคาต้องเปลี่ยนทุก 30 ปี ใช้เงินกว่า 20-30 ล้านเยนต่อหลังและใช้ชาวบ้านมาช่วยกัน 100-400 คน … การก่อสร้างบ้านแบบนี้เรียกว่า Gasho Dukuri ซึ่งหมายถึงพนมมือ อันเป็นรูปทรงของหลังคานั่นเอง จุดประสงค์ก็เพื่อไม่ให้หิมะทับถมมากเกินไป และให้มีลมโกรกในหน้าร้อน …บ้านแบบนี้มี 114 หลัง มีคนอยู่อาศัย 59 หลังเป็นโกดัง 55 หลัง … หากดูจากในภาพจะรู้สึกว่าแต่ละหลังจุ๋มจิ๋มน่ารัก แต่ของจริงนี่บอกเลยว่าบางหลังใหญ่มาก หุหุ ในปัจจุบันเริ่มมีปัญหาเพราะสร้างบ้านใหม่ไม่ได้ตามข้อกำหนดของ USNESCO คนในหมู่บ้านจึงต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก และลูกหลานบางคนก็อยากไปทำงานที่อื่นในขณะที่ความต้องการที่พักในหมู่บ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ … สำหรับอาชีพหลักของคนที่นี่คือด้านการท่องเที่ยว, เกษตรกรรม, ปลูกผักภูเขา … ในช่วงเดือนตุลาคมจะมีเทศกาลเหล้าขาว เพื่อขอบคุณเทพเจ้า ขอพรเพื่อความสุข โดยหมักเหล้าตั้งแต่ปลายเดือนมกราและนำออกมาดื่มในต้นเดือนตุลา

หลังจากมื้อเที่ยงแล้วเรานั่งรถขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ซึ่งปกติแล้วจะต้องนั่งรถบัสที่มีบริการเป็นรอบ ๆ แต่ผมได้รับความกรุณาจากเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นใช้รถส่วนตัวพาพวกเราขึ้นไปด้านบน … จากจุดนี้จะมองเห็นตัวหมู่บ้านทั้งหมดถูกขนาบด้วยภูเขาและมีแม่น้ำไหลผ่านดูแล้วสดชื่นมาก ๆ … เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดู light up ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของนักท่องเที่ยวและช่างภาพเลยทีเดียว

Japan-shoryudo-326

 

ลงจากจุดชมวิวแล้วเราเดินไปชมบ้าน “วาดะ” แต่เสียดายที่วันนี้ปิดทำการ ทราบมาว่าวันก่อนหน้ามีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต เจ้าของบ้านคงไปช่วยงาน ผมก็เลยถือโอกาสเดินถ่ายภาพบริเวณรอบ ๆ แทน ก่อนที่จะกลับไปยังจุดขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Takayama ซึ่งเป็นเมืองที่พักของเราในคืนนี้

จาก Shirakawa-go ไปยัง Takayama ผมยังคงใช้ Highway Bus Ticket ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแล้ว (ค่ารถปกติขาเดียวอยู่ที่ 2,470 Yen) โดยใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถบัสของเมือง Takayama … เมื่อลงรถบัสแล้วก็เดินลากกระเป๋าไปยัง Hida Plaza Hotel ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้ … พอเปิดเข้าห้องถึงกับตกใจเลยเพราะห้องกว้างมาก จะว่าไปกว้างกว่า ห้อง deluxe ของโรงแรมบ้านเราซะอีก หากจะเทียบกับห้องของโรงแรมในญี่ปุ่นแล้วต้องถือว่าห้องขนาดนี้ใหญ่เว่อร์เลย ที่สำคัญเป็นอีกโรงแรมนึงที่มี onsen ให้บริการด้วย โดยอยู่บนชั้นดาดฟ้า นอนแช่ออนเซ็นไปชมวิวไป แค่คิดก็ฟินแล้ว

ห้องพักที่เมือง Takayama กว้างขวางมาก

Japan-shoryudo-384

แต่เดี๋ยวก่อน .. บ่ายนี้เรามีนัดไปเดินชมเมืองกัน ซึ่งจากโรงแรมเดินลัดเลาะแบบสบาย ๆ ผ่านถนนสายเล็ก ๆ ไปจนถึงแม่น้ำ Miyakawa เพียงไม่นานก็ถึงแล้ว … ผมไปถึงในช่วงแดดเย็นกำลังทอแสงสีทอง ๆ พอดี ภาพของแสงแดดที่จับลงบนปุยหิมะขาวกับบ้านเรือนทรงญี่ปุ่นดั้งเดิมเป็นอะไรที่คลาสสิคมาก

Japan-shoryudo-388

Japan-shoryudo-390

Japan-shoryudo-395

เราค่อย ๆ เดินเลียบลำธารที่น้ำใสปิ้ง มีหิมะเกาะอยู่ริมตลิ่ง ขณะเดียวกันก็ฟังเรื่องราวของ Takayama ไปด้วย ทั้งนี้ตั้งแต่โบราณเมือง Takayama หรืออีกสมญญาคือ Little Kyoto นั้น เมื่อก่อนมีเจ้าเมืองและธรรมชาติสมบูรณ์มาก โชกุนจึงไล่เจ้าเมืองออกเพราะต้องการบริหารเมืองนี้โดยตรง … และด้วยความที่มีวัตถุดิบมากมาย เมืองนี้จึงมีช่างไม้, ช่างดินเผา, ช่างหล่อซึ่งเป็นช่างฝีมือทักษะสูงย้ายเข้มทำงานเยอะ โดย Takayama นั้นพื้นที่พอ ๆ กับโตเกียวแต่มีประชากรเพียง 90,000 คน ทำให้สภาพโดยทั่วไปในเมืองค่อนข้างสงบไม่วุ่นวาย คนที่เดินไปเดินมาส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวนั่นเอง

Takayama มีสัตว์ประจำเมืองคือกระต่าย ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าเห็นสัญลักษณ์นี้ไปทั่ว นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเครื่องรางเป็นตุ๊กตาไม่มีตา-จมูก-ปาก ชื่อ ซารูโบโบ้ เล่ากันว่าเกิดครั้งแรกโดยคุณยายไม่มีอะไรทำในช่วงฤดูหนาว เลยเย็บตุ๊กตาให้หลานสาว แต่ไม่วาดตา, จมูก, ปากเพราะสมัยก่อนผู้หญิงไม่ได้เรียนหนังสือจึงไม่มีพู่กัน และกลายเป็นเครื่องรางสำหรับผู้หญิงตั้งแต่นั้นมา สำหรับอาหารขึ้นชื่อของ Takayama ก็คือเนื้อวัวฮิดะนั่นเอง อีกอย่างคือ Ramen Takayama ที่มีต้นกำเนิดมาจากจีนลักษณะพิเศษคือไม่มัน … และสุดท้ายคือเหล้าสาเกรสดี ที่หาซื้อได้ในเมืองนี้

ถนนริมน้ำที่ผมเดินชมนี้ ในตอนเช้าจะกลายร่างเป็น morning market ที่เราจะพบเกษตรกรนำผลิตผลทางการเกษตรทั้งแบบสดและแปรรูปแล้ว รวมถึงของฝากของที่ระลึกมาเปิดเพิงขาย ซึ่งแน่นอนว่าพรุ่งนี้เราจะแวะมาดูอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนวันนี้เราเดินเลยไปจนถึงเมืองโบราณ Takayama ซึ่งยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนแบบดั้งเดิมไว้ แต่ละหลังก็จะถูกดัดแปลงทำเป็นร้านขายสินค้าประจำท้องถิ่น หลังไหนมีลูกกลม ๆ ขนาดใหญ่ (น่าจะทำจากฟางข้าว) แขวนไว้หน้าบ้านแสดงว่าด้านในมีสาเกขาย และสีที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลบ่งบอกว่าสาเกถูกบ่มได้ที่แล้ว … บางร้านมีให้ชิมฟรีก่อนซื้อด้วย ใครชอบพวกเหล้าบ๊วยหรือสาเกหาซื้อกันที่นี่ได้เลย

Japan-shoryudo-396

Japan-shoryudo-404

เดินไปเรื่อย ๆ จะถึงแยกที่ทะลุไปยังสะพานแดง จุดชมวิวมหาชนของ Takayama ได้

Japan-shoryudo-418

เมื่อพระอาทิตย์ลับของฟ้า อากาศยิ่งหนาวจัด เท้าของผมที่ยังชื้นเนื่องจากไปเดินย่ำเล่นบนกองหิมะที่ Shirakawa-go เริ่มออกฤทธิ์ เหมือนเท้าจุ่มอยูในถังน้ำแข็งตลอดเวลา สิ่งที่ทำได้คือเร่งฝีเท้าให้ถึงโรงแรมเร็วที่สุด

หนาวก็หนาวแต่อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพสวย ๆ ริมทาง

Japan-shoryudo-419

Japan-shoryudo-420

Japan-shoryudo-423

มื้อเย็นวันนั้นเราทาน Japanese set กันที่ห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรม ซึ่งวันนี้มีสุกี้เนื้อวัวฮิดะแบบจัดเต็ม นอกจากนี้ยังมีอาหารพื้นเมืองอีกหลากหลาย นับเป็นอีกมื้อที่อิ่มอร่อยมาก ๆ

Japan-shoryudo-425

คืนนั้นผมได้ลองใช้บริการออนเซ็นที่โรงแรมอีกครั้ง ซึ่งห้องหลักจะเป็นบ่อในร่มขนาดใหญ่ ติดกันเป็นบ่อ outdoor ขนาดเล็ก และหากเดินขึ้นไปอีกชั้นก็จะพบกับ Jacuzzi และอ่างแช่ตัวสำหรับคนเดียว ผมลองเกือบทุกบ่อและมาปิดท้ายที่ Jacuzzi แต่ต้องรีบขึ้นหลังจากมีชายหนุ่มญี่ปุ่นอีกคนเดินลงมาแช่ด้วย รู้สึกผู้ชายสองคนนั่งแช่ออนเซ็นตรงข้ามกันแล้วมันรู้สึกโรแมนติกเกินไปแล้ว เลยรีบกลับไปนอนดีกว่า 555

เช้าวันรุ่งขึ้นเราทาน Buffet กันที่โรงแรม ซึ่งอาหารก็หลากหลายดี และได้ยินเสียงคนไทยพูดคุยกันอยู่ 2-3 กลุ่มเลย จากนั้นผมเดินไปเที่ยวตลาดเช้าอีกครั้ง แต่วันนี้มีหิมะตกปรอย ๆ แถมมีลมด้วย เหล่าแม่ค้าก็เลยมาเปิดร้านกันน้อย ไม่คึกคักเท่าที่ควร .. ตรงช่วงกลาง ๆ ของถนนมีที่เก็บรถโบราณที่ใช้ในการประกอบพิธีแห่ในเทศกาลประจำปีซึ่งจัด 2 ครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อแสดงความขอบคุณเทพเจ้าด้านการเกตรกรรมและเป็นสิริมงคลต่อคนในเมือง ทั้งนี้ Takayaman Spring & Autumn Festival ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน 3 เทศกาลที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ชมเมืองกันอีกครั้งยามเช้า

Japan-shoryudo-440

หลังจากเดินชมเมืองในช่วงเช้าแล้ว เรากลับโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าแล้วไปขึ้นรถบัสเพื่อกลับไปยัง Nagoya ซึ่งแน่นอนว่าค่าตั๋วรวมอยู่ใน Highway Bus Ticket แบบ 5 วันของเราเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาในการเดินทางราว 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยรถจะพักหนึ่งครั้งระหว่างทาง และจอด 2 จุดที่ปลายทางคือตรงสถานี JR และป้ายสุดท้ายที่อาคาร Meitetsu ซึ่งเป็นศูนย์รถบัสของบริษัท …

ได้เวลาโบกมือลาทาคายาม่ากลับเข้าเมืองนาโกย่าแล้ว

Japan-shoryudo-461

Japan-shoryudo-462

นั่งรถบัสไปชมวิวไปฟินเป็นที่สุด

Japan-shoryudo-468

Japan-shoryudo-477




เมื่อถึงเมืองนาโกย่าเราถือโอกาสเดินเที่ยวห้าง Meitetsu ซึ่งมีคูปองลด 5% เพิ่มเติมจาก tax refund ให้มาพร้อมกับชุด Highway Bus Ticket จะบอกว่า Muji ที่นี่ใหญ่โตและหลากหลายมาก และมีส่วนที่เป็นร้านอาหารด้วย

Japan-shoryudo-481

Japan-shoryudo-480

จากนั้นเรานำกระเป๋าไป check in กันที่ Meitetsu Grand Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมทำเลดีอยู่บนตึก Meitetsu นั่นเอง … จากที่นี่จะเดินทางต่อด้วยบัสหรือรถไฟไม่ว่าจะเป็น JR line หรือ Meitetsu ก็สะดวกเพราะอยู่ไม่ไกล

ที่พักคืนนี้กับวิวสวย ๆ ของเมืองนาโกย่า

Japan-shoryudo-504

Japan-shoryudo-506

ก่อนเริ่มโปรแกรมช่วงบ่ายเราทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Yabaton ซึ่งเป็นร้านดังของนาโกยาที่มีเมนูเด็ดเป็นหมูทงคัดสุหรือหมูชุบแป้งทอด แต่น้ำมิโสะของร้านนี้จะเข้มข้นเป็นพิเศษ ราคาต่อชุดประมาณ 1600 Yen ทานกันอิ่มเลยทีเดียวเพราะให้เนื้อหมูมาเยอะมาก ๆ

Japan-shoryudo-478

Japan-shoryudo-479

การสำรวจ Nagoya ในช่วงบ่ายวันนี้เริ่มจากย่านช็อปปิ้งสินค้ามือสองโอสุ ซึ่งมีร้านค้าเรียงรายตลอดสองข้างทางให้เลือกช็อปได้อย่างจุใจ นอกจากนี้บริเวณทางเข้ายังมีศาลเจ้า Ran no Yakata ให้ไปขอพรให้ช็อปได้ของถูก เอ้ย! ให้มีทรัพย์สินเงินทองไม่ขาดมือด้วย

Japan-shoryudo-484

DSC_2234

DSC_2251

ในย่านนี้นั้นนอกจากร้านรวงเล็ก ๆ เต็มไปหมดแล้วยังมีห้างใหญ่ Kemehyo ที่มีสินค้ามือสองตั้งแต่แบบที่ขายเป็นขีด ไปจนถึง brand name ที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพมาให้เลือกมากมาย รับรองว่าถูกอกถูกใจขาช็อปแน่นอน

DSC_2248

ออกจากย่านช็อปปิ้ง เราไปเดินชมเมืองกันโดยเริ่มตั้งแต่บริวเณหอคอย Nagoya ซึ่งเคยใช้เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์และเพิ่งเลิกใช้ไปเมื่อตอนที่ทีวีเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล หอคอยแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ทำสัญญารักกันระหว่างหน่มสาวนาโกย่าด้วย ใกล้ ๆ กันคือ Oasis 21 ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คของย่าน “ซากาเอะ” อันเป็นใจกลางเมืองนาโกย่า ถ้าเป็นช่วงเทศกาลล่ะก็แถบนี้คงโชว์สีสันตระการตาเลยทีเดียว

Japan-shoryudo-494

Japan-shoryudo-491

Japan-shoryudo-488

เดินชมบรรยากาศจนค่ำ จึงแวะเข้าไปช็อปซื้อของฝากที่ร้านเจ้าแพนกวิ้นน้อย Donkihote ซึ่งอยู่ในย่านเดียวกัน แน่นอนว่ามีของให้เลือกมากมายหลากหลายตามสไตล์ Donkihote ไม่ต้องไปเดินหาที่อื่นให้วุ่นวาย มาที่นี่ได้แทบครบเลย

Japan-shoryudo-496

ช็อปปิ้งจนกระเป๋าตุงแล้ว (กระเป๋าเสื้อผ้านะ ส่วนกระเป๋าตังค์แฟบ) ก็ได้เวลาอาหารค่ำ มื้อนี้เราทานเมนูปูกันที่ร้าน Kani-Honke (คานิฮงเกะ) ซึ่งเป็นร้านใหญ่มากมีกว่า 14 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ซับโปโรถึงฟุคุโอกะ และคงมีคนไทยนิยมมาทานกันเพราะขนาดที่ป้ายร้านยังมีภาษาไทยเลย โดยห้องทานอาหารจะมีให้เลือกหลากหลายสไตล์ รวมถึงห้องส่วนตัวด้วย
สำหรับเมนูวันนี้เน้นไปที่เนื้อปูล้วน ๆ ครับทั้งซูชิ, ชาบูหรือปูชุบแป้งทอด อาหารที่เสิร์ฟนั้นเยอะมากครับแต่ก็ทานจนหมดเพราะเนื้อปูสดหวานอร่อยมาก ๆ โดยแหล่งของปูหลัก ๆ จะมาจาก Hokkaido นั่นเอง

Japan-shoryudo-497




เช้าวันสุดท้ายของทริป เราเดินทางไปเที่ยวเมือง Inuyama ซึ่งอยู่ห่างไปทางตอนเหนือของ Nagoya ราว 1 ชั่วโมง โดยการเดินทางใช้รถไฟ Meitetsu line ไปลงที่สถานี Inuyama

ทั้งนี้ในช่วงเช้าเราไปเที่ยว Meiji mura (หมู่บ้านเมจิ) ซึ่งเป็นพิพิธภัณ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่รวบรวมเอาบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างในสมัย Meiji ของญี่ปุ่นมาให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน แต่ที่น่าทึ่งคืออาคารเหล่านี้ไม่ใช่เป็นขนาดจำลองหรือสร้างเลียนแบบนะครับ แต่ว่ายกตัวอาคารจริง ๆ มาไว้ที่นี่กันเลยทีเดียว

ยามเช้าที่ Inuyama

Japan-shoryudo-510

จากสถานีรถไฟ Inuyama ใช้บริการรถบัสไปที่สถานี Meiji mura ใช้เวลาราว 25 นาทีก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ค่าตั๋วรถบัสอยู่ที่คนละ 240 Yen ต่อเที่ยว และสำหรับ Meiji mura จะมีค่าเข้าชมรวมค่านั่งรถภายใน 2700 Yen ซึ่งจะมีทั้งรถบัสโบราณ, รถไฟหัวจักรไอน้ำและรถราง (จริง ๆ มีราคาเฉพาะค่าเข้าชมที่คนละ 1700 Yen แต่ต้องไปเสียค่ารถอีกครั้งละ 500 Yen ผมคิดว่าซื้อแบบเหมาคุ้มกว่าครับ)

ตั๋วพร้อมสำหรับเข้าชมแล้วครับ

Japan-shoryudo-511

Japan-shoryudo-512

สำหรับอาคารต่าง ๆ จะวางตัวเรียงรายกันไป จะว่าไปถ้าหากมีเวลาและชอบเดินก็เดินไม่ยากครับ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าสถาปัตยกรรมในช่วงนั้นส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติตะวันตกเกือบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงโรงแรมโตเกียวอิมพีเรียลเก่า, วิหารเกียวโตเซนต์ฟรานซิสซาเวียร์, ชุมสายโทรศัพท์, ที่ว่าการประจำจังหวัด, โรงพยาบาล, โรงเรียน, โรงหมักสาเก ทั้งนี้สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ถูกรวบรวมมาจากทั่วประเทศเลยทีเดียว … มาที่นี่แล้วอย่าพลาดนั่งรถไฟหัวจักรไอน้ำด้วยนะครับ ได้บรรยากาศดีจริง ๆ

Japan-shoryudo-513

Japan-shoryudo-523

Japan-shoryudo-522

ออกจาก Meiji mura แล้วเรากลับไปยังสถานี Inuyama แล้วเดินไปย่านเมืองเก่า เพื่อที่จะไปยังปราสาท Inuyama อันเป็นอีกหนึ่งปราสาทสวยใกล้เมือง Nagoya

สองข้างทางของถนนที่มุ่งสู่ปราสาท Inuyama เป็นเรือนไม้เก่าคลาสสิคแบบญี่ปุ่นที่บางส่วนถูกนำมาทำเป็นร้านค้าขายสินค้าที่ระลึกและอาหาร

Japan-shoryudo-529

ที่เมือง Inuyama เป็นอีกแห่งที่มีเทศกาลแห่รถโบราณ  ซึ่งสถานที่เก็บรถก็อยู่บริเวณหมู่บ้านนั่นเอง

Japan-shoryudo-553

ที่สุดถนนเดินขึ้นเนินไปไม่ไกลก็จะเป็นปราสาท Inuyama ซึ่งเปิดให้เข้าชมด้วย ใครมาแล้วถ้าไม่กลัวความสูงมากนักก็คุ้มค่าที่จะปีนบันไดชัน ๆ ขึ้นไปชมวิวด้านบนครับ เพราะสวยงามจริง ๆ

Japan-shoryudo-534

Japan-shoryudo-538

ขาลงเราแวะขอพรกันที่ศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่ด้านล่างทางขึ้นปราสาท มีโทริอิสีแดงเด่นเป็นสง่าให้ถ่ายภาพด้วย

Japan-shoryudo-542

Japan-shoryudo-543

ออกจากเมือง Inuyama เรานั่งรถไฟต่อไปยังสนามบิน Centrair แต่เนื่องจาก flight ของเราค่อนข้างดึกจึงฝากกระเป๋า แล้วแว๊ปออกไป Shopping กันที่ห้าง Aeon ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสนามบิน โดยใช้บริการรถ Shuttle ฟรีตรงหน้าสนามบินนั่นเอง
ที่ Aeon มีร้านค้าให้เลือกมากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า, สินค้าแฟชั่น, เครื่องสำอางและของฝากต่าง ๆ ให้บริการจนถึง 4 ทุ่มและมีบริการ tax refund ภายในห้างด้วย … ใครยังมีเงินเหลือก็ช็อปกันได้ตามสบายครับ

สำหรับทริปสำรวจเส้นทางสาย Shoryudo ในภูมิภาค Chubu ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นทริปที่เจออากาศหนาวมากทที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ได้เจอหิมะขาว ๆ ฟู ๆ สมใจ และได้อิ่มอร่อยกับอาหารท้องถิ่นแบบครบถ้วนจริง ก็หวังว่ารีวิวคงเป็นประโยชน์และใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในภาคกลางของญี่ปุ่นที่ครบเครื่องทั้งธรรมชาติตื่นตา , เมืองเก่ากับหมู่บ้านโบราณที่สวยคลาสสิค และได้อิ่มกับเมนูท้องถิ่นที่อร่อยไม่แพ้ภูมิภาคอื่น ๆ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณที่หน่วยงานทั้งฝั่งไทยและญี่ปุ่นที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางสำรวจครั้งนี้ครับ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก link ด้านล่างเลยครับ

สำหรับตั๋ว Highway Bus Ticker สามารถติดต่อซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย อาทิ  JTB สามารถดูรายละเอียดได้ตาม link นี้ ครับ


13 Comments

  1. วันทนา

    ชอบมากๆ เหมือนทาบทับภาพความจำตอนที่ซากุระสะพรั่ง เป็นหิมะปกคลุมแทนแทบทุกเมืองเลยค่ะ
    เว้นนาโกย่า ทริปนั้นไม่ได้ไปเพราะเวลาหมด หมดเวลา 555

  2. นายมด

    นายมด : ผมไม่ได้ทำทัวร์จ้า ไปเที่ยวเองกลับมาก็เอามาเล่าให้ฟังครับ

    ตกลงเปิดให้จองอะไร อย่างไรคะ เพิ่งติดตามเป็นครั้งแรก(เพื่อนส่งมาให้) เข้าใจว่า มีราคาทริปแล้ว ดูจนจบ..คือ อะไร อย่างไร งง ค่ะ?

  3. Joom

    ตกลงเปิดให้จองอะไร อย่างไรคะ เพิ่งติดตามเป็นครั้งแรก(เพื่อนส่งมาให้) เข้าใจว่า มีราคาทริปแล้ว ดูจนจบ..คือ อะไร อย่างไร งง ค่ะ?

  4. จ๊าก

    ดีมากเลยค่ะ กำลังไม่รู้จะเริ่มทริปยังไงดีสำหรับเที่ยวคนเดี่ยว หายกังวลไปเยอะมาก..ขอบอกขอลอกแพลนหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ

  5. นายมด

    #นายมด : ฝากได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เลย ถ้า locker เต็มจะฝากใน office ก็ได้ครับ

    รบกวนสอบถามหน่อยนะค้าบบ ตอนที่นั่งรถบัสจากkanazawa ไปที่ shirakawago ไม่ทราบตอนเที่ยวสามารถฝากกระเป๋าตรงไหนได้หรอคับ หรือมี locker ให้ฝาก

  6. ome

    รบกวนสอบถามหน่อยนะค้าบบ ตอนที่นั่งรถบัสจากkanazawa ไปที่ shirakawago ไม่ทราบตอนเที่ยวสามารถฝากกระเป๋าตรงไหนได้หรอคับ หรือมี locker ให้ฝาก

  7. นายมด

    #นายมด – แต่ละฤดูต่างๆ กันไปนะครับ อย่างแบบในภาพก็ราวธ.ค.-ก.พ., อีกช่วงที่สวยคือเดือนเม.ย.ซึ่งซากุระบาน

    อยากทราบว่าช่วงเวลาน่าเที่ยวของที่นี่ เวลาใดบ้างครับ

  8. นายมด

    #นายมด : ผมไปปลายมกราต่อต้นกุมภาครับ

    สวยมากเลยค่ะคุณมด ไม่ทราบว่าไปช่วงวันที่เท่าไหร่คะ อยากตามรอยคุณมดบ้าง^^

  9. adoration

    อยากทราบว่าช่วงเวลาน่าเที่ยวของที่นี่ เวลาใดบ้างครับ

  10. jun

    สวยมากเลยค่ะคุณมด ไม่ทราบว่าไปช่วงวันที่เท่าไหร่คะ อยากตามรอยคุณมดบ้าง^^

  11. Thitipong Kingkaeo (9MOT)

    แลกตอนที่จะออกเดินทางครับผม

    ต้องนำพาสไปแลกเป็นตั๋วขึ้นรถก่อนล่วงหน้าได้นานมั้ย
    หรือแลกตอนเวลาที่จะออกเดินทาง

  12. บัณฑิตย์

    ต้องนำพาสไปแลกเป็นตั๋วขึ้นรถก่อนล่วงหน้าได้นานมั้ย
    หรือแลกตอนเวลาที่จะออกเดินทาง

  13. Nat Nana

    พระเจ้าช่วย รีวิวเลอค่ามากๆ ค่ะ คุณมด !!!