สวัสดีปีใหม่คร้าบเพื่อน ๆ … เฮ้ย ยังไม่ถึงเวลานี่นา 555 ขออภัยครับที่สับสนไปหน่อย ไปเที่ยว Osaka มากับ Thai AirAsia X บรรยากาศที่โน่นอบอวลไปด้วยสีสันของเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ซะจนทำให้ผมคิดว่าถึงเวลานั้นแล้ว … วันนี้เลยขอนำบรรยากาศที่ผมได้ไปสัมผัสมาฝากเพื่อน ๆ ครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าการเดินทางไป Osaka ครั้งนี้แตกต่างกับทริปปกติของผมมาก เพราะธรรมดาแล้วผมจะวางแผนการเดินทางเอง เที่ยวเอง และให้เวลากับการถ่ายภาพค่อนข้างเยอะ แต่ทริปนี้ไปในฐานะสื่อมวลชนเพื่อไปนำบรรยากาศของการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ที่กำลังเริ่มขึ้นแล้ว ณ Universal Studios Japan อันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของ Osaka สำหรับคนไทย นอกจากนี้ทางการท่องเที่ยว Osaka ยังได้เป็นไกด์นำผมกับเพื่อน ๆ สื่อมลชนเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่ใน Osaka ที่คนไทยอาจยังไม่คุ้นเคยอีกหนึ่งวันเต็ม งานนี้ใช้ Osaka Amazing Pass คุ้มเลยทีเดียว
ทริปญี่ปุ่นครั้งนี้หากไม่รวมเดินทางผมใช้เวลา 2 วัน … ครับอ่านไม่ผิด 2 วันจริง ๆ 555 โดยเดินทางไปตามโปรแกรมที่จัดเตรียมไว้ ก็เลยตั้งชื่อกระทู้ว่า “เที่ยว Osaka สูตรเร่งรัด” ไง อิอิ … อันที่จริงสถานที่บางแห่งน่าจะสวยมากในช่วงค่ำ แต่ผมไปในช่วงกลางวันก็เลยไม่ได้บรรยากาศแบบที่คนชอบถ่ายภาพอย่างผมต้องการนัก แถมตลอด 2 วันฟ้าปิดและมีฝนตกในวันที่เข้า USJ ด้วย ก็เลยยิ่งเป็นอุปสรรคกับการถ่ายภาพ … ที่บ่นมายืดยาวนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ รอบนี้มีภาพวิวมาฝากน้อยกว่าปกติ เกรงว่าเพื่อน ๆ ที่เคยติดตามจะงงว่าทำไม “นามด” เปลี๊ยนไป๋ 555 … แต่ยังไง้ ยังไง ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นครับ ไปทีไรก็ต้องมีเรื่องราวดี ๆ ติดไม้ติดมือกลับมาเสมอ .. รอบนี้ก็เช่นกัน ตามไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรน่าสนใจในทริป Osaka สูตรเร่งรัดของผมครั้งนี้
ครั้งนี้ผมเดินทางด้วยสายการบิน Thai AirAsiaX ไฟลท์ XJ610 ที่บินตรงจากดอนเมืองสู่สนามบินคันไซ เมือง Osaka ทุกวัน ใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงเศษนับว่าสะดวกสบายมาก ๆ
พร้อมแล้วจ้า
ครั้งนี้นั่ง Quite Zone โดยโซนนี้ไม่อนุญาตให้เด็กเล็กนั่งและหรี่ไฟไม่ให้สว่างเกินไป ทำให้พักผ่อนได้เต็มที่ครับ
เลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวงาม ๆ ครับ
อาหารบนเครื่อง … อร่อยเลยล่ะ
อีกอย่างที่อยากแนะนำ (อย่างยิ่ง) คือบนเที่ยวบิน AirAsia X จะมีบริการ Sky Ticket ให้เพื่อน ๆ สามารถซื้อตั๋ว Limousine Bus สำหรับเข้าเมือง, เข้าชม Osaka Aquarium Kaiyukan อันโด่งดัง รวมถึง Universal Studios Japan ได้ในราคาเท่ากับซื้อด้านหน้าเลย … ไม่ต้องไปรอคิวให้เสียเวลาเที่ยว ถ้ามีแผนจะไปอยู่แล้วก็จัดไปเลยครับ
Flight ของเราถึงจุดหมายที่ Osaka ตามตารางเวลา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเกือบ 5 ทุ่มที่ Osaka … (สำหรับเพื่อน ๆ ที่จะเดินทางปีหน้าตั้งแต่ 27 มีค 59 เป็นต้นไป ตารางการบินจะปรับออกจากดอนเมืองเร็วกว่าเดินราว 1 ชั่วโมง คือออกเวลา 14:15 และถึง Osaka 21.40 ทำให้มีเวลามากขึ้นอีก 1 ชม. เอาไว้ shopping แถวที่พักได้สบาย ๆ) กว่าจะรับกระเป๋าและผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองก็ต้องนั่งรถบัสรอบเที่ยงคืนเพื่อเข้าเมือง (ลงย่าน Umeda) … ยังไงถ้าเพื่อน ๆ จะใช้รถบัสก็พยายามออกมาให้ทันรอบเที่ยงคืนนะครับ เพราะรอบหลังจากนี้จะห่างกัน 1 ชม. เลยทีเดียว … สำหรับตารางเวลาของรถบัสสามารถดูได้จากตาราง link นี้ครับ
จากจุดที่เราลงรถบัสใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง Hotel New Hankyu Osaka ซึ่งเป็นที่พักในทริปนี้ของผม แอบผิดหวังเล็กน้อยกับอากาศที่ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ อิอิ .. ทำเลของโรงแรมถือว่าดีเลยล่ะครับ อยู่ใกล้สถานีรถไฟ ตรงข้ามเป็นห้าง Yodobashi ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้า IT ชื่อดัง แถมชั้นบนมีร้านอาหารเพียบเลย
สำหรับตัวหัองพักก็แคบหน่อยตามสไตล์ของญี่ปุ่นเค้าครับ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและความสะอาดก็ถือว่า ok
เช้าวันรุ่งขึ้น เราออกจากโรงแรมกันแต่เช้าเพื่อไป Endo Sushi ร้านอาหารแนะนำที่อยู่หน้าตลาดปลาของ Osaka … โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะนัก ก็เลยไม่ต้องรอคิว .. Endo Sushi เป็นร้านเล็ก ๆ ดังนั้นถ้าคนเยอะก็ต้องรอคิวนานหน่อย สำหรับอาหารจานเด็ดก็แน่นอนว่าเป็น Sushi ที่มีหลากหลายหน้า ทั้งนี้ทางร้านจะมี set ต่าง ๆ ให้เลือก แต่ถ้าเราไม่พอใจอยากเลือกเองก็ได้เช่นกัน … อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้เป็นคอ Sushi สักเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าได้ชิมของที่นี่แล้วถูกใจ โดยเฉพาะหน้าปลาไหลที่อร่อยมาก ๆ …
หน้าร้านเป็นแบบนี้ ไปแล้วไม่เจอสาวสวยคนนี้ห้ามต่อว่านะครับ อิอิ
จาก Endo Sushi พวกเราเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานีใกล้เคียง เพื่อเดินทางไปยัง Universal Studios Japan ซึ่งเรามีเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ สำหรับสวนสนุกแห่งนี้ …
เก็บบรรยากาศระหว่างเดินไปสถานีรถไฟ
ได้ตั๋วแล้ว ขึ้นรถกันได้เลย
แค่มาถึงสถานีรถไฟก็เริ่มได้กลิ่นอายของ USJ ด้วยป้ายต่าง ๆ โดยเฉพาะ โปสเตอร์ Harry Potter ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงทางขึ้นจากสถานีรถไฟ … ผมแปลกใจพอสมควรเพราะไม่คิดว่าวันธรรมดาจะมีคนมาเที่ยว USJ เยอะและคึกคักขนาดนี้ ยิ่งถึงประตูทางเข้ายิ่งอึ้งเลยเพราะผู้คนมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นนี่แหละ แต่ละคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม และมีไม่น้อยที่แต่งเนื้อแต่งตัว cosplay หรือไม่ก็ใช้ prop ต่าง ๆ ตามแบบตัวละครในภาพยนต์ ดูแล้วได้บรรยากาศของสวนสนุกมาก ๆ …
ระหว่างทางเดินและด้านหน้า USJ
บรรยากาศด้านในคึกคักมาก พนักงานของ USJ จะยืนยิ้มโบกไม้โบกมือให้นักท่องเที่ยวและคอยให้คำแนะนำอยู่ตลอดเวลา
โปรแกรมแรกของเราวันนี้เริ่มด้วยการชมพาเหรด Minion ครับ แต่เนื่องจากเช้านี้มีฝนตกปรอย ๆ ทำให้พื้นถนนเปียก พาเหรดจึงถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็นการโชว์ตัวของ Minion แทน โดยให้เหล่าสาวกได้ถ่ายภาพคู่กับเหล่า Minion ได้อย่างใกล้ชิด
กล่องป๊อปคอร์นกลิ่นกล้วยรูป Minion อันนี้น่ารักน่าชังเหมาะกับการซื้อเป็นของฝากมาก แต่แนะนำให้กินป๊อปคอร์นรสกล้วยก่อนนะอิ อิ … สนนราคาอยู่ที่ 3000 Yen
น่ารักไม๊ (ตุ๊กตานะ) … ช่วงเทศกาลแบบนี้สวมชุดซานต้าด้วย
ถ้าให้ได้บรรยากาศต้องทานคู่กับเครื่องดื่ม Banana Minion White Chocolate ครับราคา 500 Yen รสชาติหวาน ๆ น่าจะถูกใจเด็ก ๆ
จากนั้นเราเดินทางไปยังโซน Harry Potter ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปีที่ผ่านมาและยัง hot มาจนถึงตอนนี้ … ระหว่างเดินไปฝนตกปรอย ๆ ตลอด แต่ดูเหมือนสาวกของ Harry Potter จะไม่มีใครย่อท้อเลย ทุกคนเดินอย่างตั้งใจผ่านป่าสนที่มีเสียงดินแดนแห่งเวทมนต์ติดตามตลอดทุกย่างก้าว ..
แล้วเราก็มาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้านฮอกส์มี้ด ซึ่งวันนี้เต็มไปด้วยเหล่ามักเกิ้ลที่ยกขบวนมาเยือนดินแดนของผู้วิเศษแห่งนี้ … แม้ภาพเบื้องหน้าจะเป็นร้านรวงที่หลังคาปกคลุมด้วยหิมะ โดยมีอาคารอันยิ่งใหญ่ของฮอกวอร์ตเป็นฉากหลัง … แต่บรรยากาศจริง ๆ ฝนตกปรอย ๆ ตลอด อย่างไรก็ตามสายฝนไม่สามารถทำให้บรรดาสาวกแฮรี่ละความพยายาม ทุกคนมุ่งหน้าสู่ฮอกวอร์ตเพื่อสัมผัสประสบการณ์ The Wizarding World of Harry Potter เครื่องเล่นใหม่ล่าสุดของ USJ ที่เพิ่งจะมาประจำการเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
ส่วนผมได้เวลาข้าวเที่ยงพอดีก็เลยแวะ “ร้านไม้กวาดสามอัน” ก่อนเลย … ร้านนี้นอกจากเสิร์ฟอาหารภายใต้บรรยากาศจำลองสถานที่ใน Harry Potter แล้ว … ตรงระเบียงนอกร้านยังเป็นจุดถ่ายภาพ “ฮอกวอร์ต” ได้อย่างสวยงามด้วย
บรรยากาศของร้าน
บรรยากาศแบบนี้เหมือนตอนโดนผู้เสพวิญญาณเข้าครอบงำเลย
และที่พิเศษสุด ๆ เมื่อเดินทางไปเที่ยวช่วงเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ จะมีรายการอาหารพิเศษแบบนี้ให้ลิ้มลองด้วย
มาร้านนี้ทั้งทีอย่าลืมลอง บัตเตอร์เบียร์ ของโปรดของแฮรี่เค้าด้วยนะ … ดื่มหมดก็ล้างเอาแก้วกลับไปเป็นที่ระลึกได้เลย เสียดายที่ไม่ใช่เบียร์จริง แต่น่าจะทำจากช็อคโกเลตหวาน ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ ดื่มได้ด้วย
ทานเรียบร้อยอย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำตรงปากทางออกร้านด้วย ฉี่ไปฟังเสียง เมอร์เทิล จอมคร่ำครวญไปได้ feeling ดีจนต้องหันซ้ายมองขวาตลอด 555
เมื่อเติมพลังแล้ว เราก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่รอคอยเสียที … เนื่องจากผมอยู่ในกลุ่มสื่อมวลชนก็เลยได้เข้าช่องพิเศษไม่ต้องยืนรอท่ามกลางสายฝนเป็นชั่วโมงเหมือนคนอื่น (เชื่อว่าคงเคยเห็นรีวิวจากเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ แล้วนะครับเรื่องทริคการเล่นเครื่องเล่นใน USJ โดยเฉพาะ Harry Potter ผมคงไม่ฉายซ้ำ)
ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แฟน ๆ แฮรี่ไม่สนใจครับ ต่อคิวอย่างไม่ย่อท้อ
มีเครื่องเล่นแนวรถไฟเหาะด้วยนะครับในโซนนี้
สำหรับเครื่องเล่น The Wizarding World of Harry Potter จะไม่อนุญาตให้นำกล้องหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ติดตัวไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของเราและทรัพย์สิน เพราะที่นั่งจะมีการเหวี่ยงไปมาเป็นระยะ ถึงแม้จะติดตัวไปก็คงถ่ายไม่ได้ครับเพราะภาพ 3D ต้องมองผ่านแว่นตาเท่านั้น … เครื่องเล่นนี้จะนำเราเข้าไปสู่บรรยากาศของการนั่งไม้กวาดวิเศษ บินตามหลัง Harry ที่คอยพูดกับเรา (เป็นภาษาญี่ปุ่น J) แต่นาทีนั้นไม่สนใจคำแปลครับ เพราะมัวเสียวกับฉากการไล่ล่าลูกควิดดิชและความอลังการของฮอกวอร์ต แถมต้องเผชิญกับผู้เสพวิญญาณด้วย โอ้ยสนุกจริง ๆ … นับเป็นการเติมเต็มจินตนาการหลังการอ่านหนังสือและชมภาพยนต์ได้เป็นอย่างดี …
ความรู้สึกหลังเล่นคือมึนนิด ๆ ครับ คงเป็นเพราะสายตาปรับตามภาพไม่ค่อยทัน ตามประสาวัยรุ่นตอนปลาย (มากๆ) แต่สำหรับเด็ก ๆ คิดว่าสบายครับ … ระดับความเสียวไม่มากนัก (ผมเป็นโรคกลัวความสูง เกลียดความเสียว ยังรับได้อยู่) … เพื่อความชัวร์เล่นเครื่องเล่นนี้ก่อนทานข้าวก็ดีนะครับ ไม่งั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้นั่งขี่ไม้กวาดด้านหลังได้ 555
แน่นอนว่าตรงทางออกเป็นร้านขายของที่ระลึกสารพันของแฮรี่และผองเพื่อน ใครอยากได้อะไรก็แนะนำให้ซื้อตรงนี้เลยครับ สนนราคาอาจสูงสักหน่อย ก็เป็นของที่หาไม่ได้ในโลกมนุษย์นี่เนอะ มีเฉพาะในดินแดนแห่งเวตมนต์เท่านั้น ยังดีที่รับเงินเยนไม่ต้องจ่ายด้วยเหรียญเกลเลียน อิอิ
ออกจากดินแดนแห่งเวตมนต์เราไปเล่นเครื่องเล่น Jaws ride ในตำนานซึ่งอยู่ติด ๆ กัน … ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำกล้องลงเรือไปถ่ายภาพเช่นเดียวกัน … ระดับความตื่นเต้นไม่มีครับ ออกแนวสนุกไปกับ action ของสาวญี่ปุ่นที่เป็นคนนำเราผจญภัยมากกว่า … แต่ถ้าเป็นเด็ก ๆ น่าจะชอบนะครับ มี Jaws โผล่มายิ้มให้เป็นระยะ 🙂
บ่ายแล้วแต่ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เราเลยแวะทานเมนูพิเศษอีกหนึ่งอย่างที่ชื่อ Hamburger cheese soup … เป็นซุบข้น ๆ รสชาติเหมือน Cheese burger ผมว่ารสชาติดีเลยทีเดียว เหมาะกับอากาศเย็น ๆ แบบนี้
โปรแกรม Hi-light สำหรับวันนี้คือการแสดงเปิดไฟต้น Christmas ในช่วงค่ำของวัน ระหว่างที่เรายังมีเวลาเหลือ ก็เลยได้ลองเครื่องเล่นอีก 2-3 อย่าง ซึ่งที่สนุกอีกตัวนึงสำหรับผมคือ Spider man ครับ … พระเอกของเราจะชักใยพาเราหลบเหล่าตัวร้าย ซึ่งแน่นอนว่ามีจุดให้หวาดเสียวหลายครั้งอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะสำหรับคนกลัวความสูง (ไม่บอกมากกว่านี้ดีกว่าปล่อยให้ไปลองเอง)
ก่อนการแสดงที่รอคอยจะเริ่มขึ้น เราถือโอกาสแวะทานอาหารที่ Finnegan’s Bar-Grill ซึ่งเสิร์ฟอาหาร western เป็นหลัก และในช่วงเทศกาลแบบนี้ ทั้งร้านจะประดับประดาอย่างสวยงามได้บรรยากาศจริง ๆ
เนื่องจากฝนยังคงตกอยู่ การแสดงเปิดไฟต้นคริสต์มาสคืนนี้จึงเป็นแบบย่อ แต่ผู้ชมทั้งหมดก็ไม่มีใครย่อท้อ ต่างมากางร่มรอการแสดงกันอย่างคับคั่ง ผมเองได้ที่ชมด้านหลังซึ่งเป็นจุดสูงขึ้นมาหน่อยค่อนมาทางต้นคริสต์มาสแต่ไม่ได้อยู่ตรงกลาง
แม้จะเป็นแบบย่อ แต่ระบบแสงสีเสียงยังคงเป็นแบบจัดเต็มและดูยิ่งใหญ่สวยงามมาก โดยเฉพาะตอนที่ไฟบนต้นคริสต์มาสยักษ์ถูกเปิดขึ้น นับเป็นการแสดงที่คุ้มค่าต่อการคอยมาก และถือเป็น hi-light ของ USJ ในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างแท้จริง
จบการแสดงแล้วเราถือโอกาส shopping กันที่ร้านขายของที่ระลึกบริเวณใกล้ทางเข้าออก ซึ่งมีของฝากให้เลือกจนจุใจเลยครับ
ผมถือโอกาสเก็บบรรยากาศผู้คนที่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มท่ามกลางแสงไฟที่ประดับประดายามค่ำคืนอีกครั้งก่อนที่จะโบกมือลา USJ อย่างเป็นทางการ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ เราได้พบกับเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยว Osaka ซึ่งจะนำเราเที่ยวเสมือนเป็นนักท่องเที่ยวจริง ๆ โดยใช้บัตร Osaka Amazing One day pass ที่สามารถใช้นั่งรถไฟในเขตเมืองชั้นใน Osaka รวมถึงเป็นบัตรเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ได้ฟรีอีกด้วย
วันนี้เราเดินทางด้วยบัตรใบนี้ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมของ Osaka Amazing Pass สามารถดูได้จาก link ต่อไปนี้ครับ https://www.osaka-info.jp/osp/en/index.html
โปรแกรมแรกเริ่มจากพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป () ของนิชชิน (Nissin) ซึ่งอยู่เขตชานเมืองของ Osaka ดังนั้นเราจึงต้องซื้อตั๋วเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพราะรถไฟที่ผ่านย่านนี้อยู่นอกเขตที่สามารถใช้บัตร day pass ได้ ทั้งนี้สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ประจำสถานีเพื่อขอซื้อตั๋วส่วนต่างได้เลย
ออกเดินทางกันเลย
มาถึงแล้วครับ The Instant Ramen Museum
รูปปั้นที่เห็นในภาพคือคุณปู่ Momofuku Ando ผู้ก่อตั้ง
โชคดีที่เรามาถึงกันแต่เช้า ที่พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงยังมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะนัก … ที่นี่เข้าชมฟรีครับ
แต่ความสนุกของการชมพิพิธภัณฑ์อยู่ที่การได้ทำบะหมี่ถ้วยโปรดของเราเอง ในราคาเพียง 300 Yen เริ่มจากรับถ้วยบะหมี่เปล่าให้เราใช้สีวาดภาพถ้วยบะหมี่ตามจินตนาการ เหมือนได้กลับไปอยู่ชั้นประถมอีกครั้ง จากนั้นก็นำถ้วยบะหมี่ดังกล่าวไปใส่ก้อนบะหมี่ ตามด้วยผงปรุงรสและ topping ต่อมาเป็นขั้นตอนการ seal ฝาปิดและสุดท้ายคือการใส่ในถุงกันกระแทก เพื่อให้ได้บะหมี่ที่มีเพียงถ้วยเดียวในโลก
ทุกกระบวนการที่นี่สะอาดสะอ้านมาก ๆ ครับ …
สำหรับคนที่สนใจจะเรียนรู้ตั้งแต่ขั้นตอนการนวดและผลิตเส้น ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือน ๆ ทีเดียว โดยมีห้องสอนอยู่บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ครับ
ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์อย่าลืมใช้เวลาเดินชมประวัติและเรื่องราวของบะหมี่นิชชิน หรือใครอยากได้ของที่ระลึกน่ารัก ๆ ก็ซื้อหาได้ที่ร้านขายของฝากตรงประตูทางออกครับ
ออกจากพิพิธภัณฑ์เรานั่งรถไฟกลับไปยัง Osaka เพื่อชมเมือง Osaka โบราณจำลอง (Osaka Museum of Housing and Living) อยู่ตรงอาคารติดกับสถานี Tenjibashisuji 6-chome (ชั้น 7) ซึ่งค่าเข้าชมรวมอยู่ในบัตร Amazing pass แล้ว … แต่เพื่อให้ได้บรรยากาศโบราณจริง ๆ พวกเราจึงต้องแปลงโฉมเป็นชาวญี่ปุ่นด้วยชุดกิโมโนสวย ๆ ด้วย (ค่าชุดกิโมโน ไม่รวมในบัตร Osaka Amazing Pass) …
หนุ่ม ๆ สาว ๆ ในชุดกิโมโนเข้ากับบรรยากาศที่นี่มาก
สำหรับเมือง Osaka จำลองมีพื้นที่ไม่กว้างนัก ภายในจัดทำเหมือนเป็นหมู่บ้านยุคเก่าขนาดย่อม มีถนน 2 สายให้เดินโดยรอบ บ้านแต่ละหลังถูกตกแต่งให้เหมือนกับย้อนไปในยุคโบราณจริง ๆ ที่เด็ดคือแสงจะมีการเปลี่ยนเป็นช่วงกลางวัน ช่วงเย็น และค่ำได้ด้วย เสียดายที่บรรยากาศภายในอาจจะมืดไปหน่อยและมีแหล่งแสงที่หลากหลาย (white balance ของกล้องจะทำงานยาก) ทำให้ถ่ายภาพลำบากพอสมควร
นอกจากในส่วนของเมืองโบราณจำลองให้เดินเล่นแล้ว ยังมีเมืองจำลองจิ๋วเป็นโมเดลให้เราได้ชมที่ชั้น 8 อีกด้วยครับ
มาพิพิธภัณฑ์แล้วที่พลาดไม่ได้คือเดินเล่นที่ Shinsaibashi-suji Shotengai ถนนสาย shopping แบบ local ซึ่งอยู่ติดกับตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองจำลองครับ ถนนสาย shopping นี้มีสินค้าท้องถิ่นญี่ปุ่นทั้งอาหาร, ของฝาก เสื้อผ้า ให้เลือกชมมากมาย จะว่าไปก็คล้าย ๆ กับสำเพ็งบ้านเราครับ แต่เชื่อว่าคุณภาพของญี่ปุ่นเค้าคงเหนือกว่าบ้านเราพอสมควรแม้ราคาจะถูกกว่าสินค้าแบรนด์มากก็ตาม ผมเองก็ได้พวกผลไม้แห้งเป็นของฝากจากที่นี่แหละครับ
มื้อเที่ยงของวันนี้เราเดินทางไปทานคุชิคัตสึ (Kushikatsu) ที่เป็นของทอดหลายอย่างทั้งเนื้อสัตว์และผักที่ย่านเทนโนจิ (Tennoji) … ร้านรวงแถวนี้ดูเป็นญี่ปุ่นมาก ๆ และน่าจะได้รับความนิยมพอสมควรเพราะแต่ละร้านมีที่นั่งเยอะมาก แต่เรามาในช่วงเที่ยงคนไม่เยอะเท่าไหร่ … โดยเมนูก็จะเป็นพวกของทอดและมี hi-light เป็นพิซซ่าญี่ปุ่น ซึ่งใช้ผักตีกับไข่ไก่สดให้เข้ากัน แล้ววางลงบนกะทะร้อน งานนี้ได้ประทะฝีมือกันว่าใครจะทำเป็นก้อนสวยกว่ากัน
อิ่มจากมื้อเที่ยงแล้วเรามีโปรแกรมต้องขึ้นหอคอยซึเท็นกะกุ (Tsutenkaku Tower) ซึ่งตั้งเด่นสง่าอยู่ในย่านนี้ แต่เนื่องจากเวลาไม่พอและอากาศไม่ดี เราจะยกเลิกโปรแกรมขึ้นชมวิวด้านบนหอคอยนี้ แต่เดินทางกลับไปยังสถานี Osaka เพื่อขึ้นชมวิวมุมสูงของ Osaka จากตึก Umeda Sky Building แทน
เก็บภาพหอคอยกับบริเวณโดยรอบไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย เสียดายที่ไม่ได้ขึ้นไปชมวิวด้านบน … หอคอยซึเท็นกะกุ (Tsutenkaku Tower) หรือไอเฟลแห่งญี่ปุ่น อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองใหม่ ซึ่งเป็นที่จัดงานเอ็กซ์โปในประเทศ
สำหรับ Umeda Sky Building เป็นตึกแฝดในย่าน Umeda ด้านบนของตึกนี้ทำเป็นสวนลอยฟ้าและมี walk way ให้เราเดินชมวิวได้โดยรอบทั้ง 360 องศา โดยมีทั้งส่วนที่เป็น indoor และ outdoor
จากสถานีรถไฟเดินไปที่ตึกใช้เวลาราว 10 นาทีครับ ถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าค่าขึ้นชมรวมอยู่ใน Osaka Amazing Pass แล้ว … น่าเสียดายมาก ๆ ที่ฟ้าวันนี้หมองหม่นเหลือเกิน และเรามาถึงในช่วงบ่าย ผมคิดว่าถ้ามาติดช่วงพระอาทิตย์ตกไปจนถึงพลบค่ำที่นี่ต้องเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก ๆ ทีเดียวครับ เพราะจะมีการเปิดแสงไฟประดับทางเดินอย่างสวยงาม … ใครมา Osaka ห้ามพลาดเด็ดขาด
ชมตึก Umeda Sky Building เสร็จแล้วเรากลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่โรงแรม จากนั้นเดินทางด้วย taxi ต่อไปยังย่านนัมบะ ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งอันโด่งดังของ Osaka โดยนำสัมภาระฝากไว้ใน locker ที่สถานีรถไฟ (ถ้าจะฝากแนะนำให้เตรียมเหรียญ 100 Yen ไว้เยอะ ๆ เลยครับ เพราะตู้รับฝากจะรับเหรียญชนิดนี้เท่านั้น) ราคาก็ต่างกันไปตามขนาดของ locker ครับ
นั่งรถ taxi ไปนัมบะ ระหว่างทางสวยดีครับ
จากนั้นก็เป็นงานที่คนไทยถนัดล่ะครับ เดิน shopping ในย่านนัมบะ โดยเรามีเวลาประมาณชั่วโมงนิด ๆ ก่อนที่จะต้องไปเจอะกันหน้าร้าน Don Quijote ร้านขายของฝากชื่อดัง เพื่อล่องเรือชมเมือง Osaka จากในแม่น้ำ
เก็บบรรยากาศของย่านนัมบะและ Dotonburi
ผมเดินกึ่งวิ่งเพื่อเก็บ RC ตามรายการสั่งของให้ครบ และปิดท้ายที่ร้าน Don Quijote ก็เรียกได้ว่าเหงื่อซึมเพราะระยะทางจากสถานีรถไฟไปจุดนัดพบต้องผ่านสารพันร้านล่อตาล่อใจ กว่าจะไปถึงที่หมายก็ได้เวลานัดพอดีพอดี
ค่าล่องเรือนั้นรวมในบัตร Amazing Pass เช่นกัน ทำให้เราไม่ต้องควักกระเป๋าเพิ่มอีกแล้ว โดยท่าเรือก็อยู่ที่หน้าร้าน Don Quijote นั่นเอง ทั้งนี้เป็นการล่องไปในคลอง Dotonburi ที่มีความกว้างไม่มากนัก สองฝั่งเป็นตึกในย่านธุรกิจของ Osaka ที่ประดับประดาไฟอย่างสวยงาม โดยมีไกด์คอยบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นสลับกับอังกฤษให้ฟังตลอดการเดินทาง
ปิดท้ายคืนนี้ด้วยมื้อใหญ่ ๆ ที่ร้าน Matsusakagyu Yakiniku M ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าเรือนั่นเอง สำหรับคนที่ชอบปิ้งย่างไม่ควรพลาดเด็ดขาดกับเนื้อชั้นดีหลากหลายตามความชอบ … อ้อ อย่าลืมลองสั่งเหล้าบ๊วยมาทานคู่กับเนื้อด้วยนะครับ รสชาติหวานหอมกลมกล่อมจริง ๆ
เสียดายที่ผมเลิกทานเนื้อแล้ว ได้แต่ถ่ายภาพแล้วมองตาปริบ ๆ … เพื่อน ๆ ที่เลือกทานเนื้อบอกว่าฟินมาก ส่วนหมูดำกับ seafood ของผมก็อร่อยเหมือนกันครับแต่อาจโม้ไม่ได้เหมือนเนื้อวัว 🙁
ออกจากร้านเรามุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถด่วนพิเศษ Express Rapit ที่มีฮีโร่ราพิดรูดเจอร์ (rapi;tldier) เป็นสัญลักษณ์ ไปยังสนามบิน Osaka .. แต่ก่อนขึ้นรถไฟได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยว Osaka ให้ลองชิม Soba กับ Udon ภายในสถานีรถไฟซึ่งถือว่าเป็นอาหารราคาประหยัดสำหรับนักเดินทางที่มีงบจำกัดและมีเวลาน้อยแถมสะดวกด้วยเพราะร้านเหล่านี้จะอยู่ในสถานีรถไฟแทบทุกสถานี …
สำหรับรถไฟสายพิเศษ Express Rapit นี้ใช้เวลาเพียง 37 นาทีไปยังสนามบิน ราคา 1640 Yen ซึ่งไม่ได้ต่างกันมากนักกับการเดินทางด้วยรถบัส ผมว่าคุ้มค่ามาก เพราะที่นั่งกว้างขวางสบายสุด ๆ แถมมีชั้นสำหรับเก็บกระเป๋าให้ด้วยเหมาะอย่างยิ่งกับการเป็นพาหะนะในวันเดินทางไป-กลับ สนามบิน
ทริป Osaka สูตรเร่งรัดของผมจบลงเท่านี้ครับ นับเป็น 2 วันเต็ม ๆ ที่เหนื่อยพอสมควร คงเป็นเพราะสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยด้วยล่ะ แต่อย่างที่เกริ่นไปแต่ต้นล่ะครับ ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นที่ยังคงมีเสน่ห์สำหรับคนไทยเสมอ อะไร ๆ ที่เป็นของญี่ปุ่นก็ดูน่าสนใจไปหมด … ก็หวังว่ารีวิวนี้คงทำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักมุมมองใหม่ ๆ ของ Osaka มากขึ้น รวมถึงได้เห็นบรรยากาศในช่วงเทศกาลของ USJ ด้วยว่าน่าไปสัมผัสขนาดไหน … สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Thai AirAsia X ที่พาผมเดินทางไปด้วยในทริปนี้ ขอบคุณ Universal Studios Japan ที่มอบประสบกาณ์สุดหรรษาที่สวนสนุกระดับโลก และสุดท้ายขอบคุณการท่องเที่ยว Osaka ครับที่ดูแลการท่องเที่ยวใน Osaka หนึ่งวันเต็ม ๆ