Select Page

Italy สวยเวอร์ … ตอน “มนต์เสน่ห์แห่งเวนิส สวยไม่เกรงใจใคร”

แฮะแฮ่ม … ได้เวลาเที่ยวอิตาลีกันต่อแล้ววววว… ตอนนี้ก็นับเป็นตอนที่ 3 แล้วนะครับ  ผมจะพาไปเที่ยวอีกหนึ่งเมืองสุดคลาสสิคของอิตาลีที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกมากมายให้ไปเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า  เพื่อน ๆ คนไหนที่พลาดรีวิวสองตอนก่อนหน้าก็ย้อนไปอ่านได้ตาม link  ข้างล่างเลยนะครับ

“ปฐมบท” – ภาพรวมของทริปและภาพ highlight เด็ด ๆ

“เมืองริมผาสู่ทุ่งหญ้าสวย” – Cinque Terre 5 หมู่บ้านสวยริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ ทัสคานี ที่สุดแห่งความงามของทุ่งหญ้า

ต่อจากตอนที่แล้วผมขับรถออกจาก Florence ช่วงบ่าย ๆ แล้วตีรถยาวรวดเดียวถึงเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Favaro Veneto ที่ตั้งของ Agriturismo Il Melograno ซึ่งเป็นที่พักของเราระหว่างเที่ยว Venice … ผมเลือกที่จะพักนอกเกาะอันเป็นที่ต้องของเมือง Venice เพราะไม่อยากขับรถเข้าด้านใน เนื่องจากเกรงจะหาที่จอดรถยาก แถมถ้ามีก็คงแพงเอาเรื่อง ผมจึงใช้วิธีเลือกที่พักห่างออกมาหน่อยแล้วซื้อ Venice card แบบ 36 ชั่วโมงราคา 40 Euro (จริง ๆ มีให้เลือกได้หลายแบบ เริ่มตั้งแต่ 12 ชั่วโมง) ซึ่งบัตรดังกล่าวสามารถใช้ได้ทั้งรถบัสที่ใช้เดินทางจากเมือง Favaro Veneto ไปยัง Venice และเรือที่วิ่งให้บริการใน Venice ทั้งนี้รวมถึงเรือที่เดินทางไปเกาะ Murano และ Burano ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้ Venice ด้วย นับว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากทีเดียว รวมถึงกรณีที่เพื่อน ๆ พักใน Venice ก็ตาม ผมก็ยังแนะนำให้ซื้อตั๋วดังกล่าวอยู่ดีเพราะ ค่าเรือแต่ละเที่ยวใน Venice นั้นราคาสูงเอาการ ครั้นจะเดินอย่างเดียวก็เสียเวลามาก ๆ เว้นเสียแต่ว่ามีเวลาอยู่ที่นั่นเป็นสัปดาห์และอยากเดินสำรวจเมืองก็เป็นอีกเรื่องครับ

เดิมผมวางแผนว่าจะเข้าไปเก็บแสงเย็นของ Venice ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง แต่เนื่องจากเราไปถึงกันค่อนข้าง Late แล้ว จึงใช้เวลาช่วงค่ำของวันนั้นทำอาหารกินกันในที่พักซึ่งมีเครื่องครัวเพียบพร้อมเพราะที่พักเป็นแบบ apartment … Agriturismo Il Melograno นั้นเป็นฟาร์มผักออแกนิคตั้งอยู่ในเขตชานเมือง บรรยากาศเงียบสงบ เจ้าของฟาร์มสร้าง apartment แบ่งให้เช่า นับเป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากหลีกหนีความวุ่นวายของ Venice และต้องการประหยัดงบ คืนนั้นผมก็เลยมีเวลาทำความสะอาดอุปกรณ์กล้องซะหน่อยหลังจากใช้งานอย่างสมบุกสมบันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และเนื่องจากวันรุ่งขึ้นคงต้องมีการเดินชมเมือง ผมจึงแยกอุปกรณ์ที่คาดว่าไม่ได้ใช้ออกจากกระเป๋า ไม่อยากบอกเลยว่าสุดท้ายตัดใจไม่ได้ มีเพียงแฟลชกับที่ชาร์จแบตเท่านั้นที่ถูกนำออกจากกระเป๋า ส่วนเจ้า Nik D7100, Lens 12-24 f4, 17-55 f2.8 และเทเลคู่ใจ 70-200 f4 ยังอยู่ครบ แถมด้วย Lens มือหมุน 50 f 1.4 เอาไว้ถ่าย VDO ก็ผ่านเข้ารอบได้เดินทางไป Venice กับเขาด้วยเช่นกัน อิอิ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราขับรถไปจอดไว้ที่ที่จอดรถแห่งหนึ่งเยื้อง ๆ โรงแรม Courtyard by Marriott ใกล้สนามบิน ที่นี่รับจอดรถวันละ 5 Euro ส่วน Venice card ก็สามารถซื้อได้ที่ร้านขายบุหรี่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ขึ้นรถที่ป้ายรถหน้าลานจอดรถนั่นเอง …

เพื่อน ๆ ที่สนใจนำรถไปจอดไปตามพิกัดนี้ได้เลยครับ 45.504402, 12.328404 หรือจะหาจากชื่อโรงแรม Courtyard by Marriott Venice Airport ก็น่าจะหาไม่ยากเช่นกัน

รถมาถึงป้ายไม่ตรงตามตารางเวลานักแต่ก็ late ไม่มาก โดยใช้เวลาราว 25 นาทีซึ่งก็ถือว่าไม่นานมาก ทั้งนี้รถบัสนำเรามายังชานชรา เอ้ย ชานชลาของเหล่ารถบัสที่มายัง Venice ซึ่งอยู่ตรงท่าเรือ Ple Roma โดยที่เป็นเหมือนชุมทางของการคมนาคมขนส่งแบบต่าง ๆ ทั้งท่ารถบัส, เรือ, รถไฟ, เรือโดยสาร และที่จอดรถด้วย แต่ไม่รวมเครื่องบินนะครับ เพราะสนามบินอยู่ใกล้ ๆ กับที่ผมจอดรถไว้นั่นเอง

ทันทีที่ลงรถก็ถลาไปถ่ายภาพริมน้ำทันที ซึ่งไม่ว่าจะหันไปมุมไหนมันก็ดูน่าบันทึกภาพไว้ทั้งหมด

 

สะพาน Ponte della Costituzione ที่มีรูปลักษณ์ค่อนข้างโมเดินร์แปลกแยกจากสถาปัตยกรรมโดยรวมของเมืองนี้  ก็เลยถ่ายภาพให้เห็นแค่ด้านล่างซะเลย อิอิ

สะพาน Ponte della Costituzione ที่มีรูปลักษณ์ค่อนข้างโมเดินร์แปลกแยกจากสถาปัตยกรรมโดยรวมของเมืองนี้ ก็เลยถ่ายภาพให้เห็นแค่ด้านล่างซะเลย อิอิ

ภาพนี้นำมาเปิดเงาใต้สะพานใน LR ครับ โชคดีที่ Dynamic range ของ D7100 ให้มาเยอะแบบที่ได้เล่าไปแล้วในรีวิวตอนก่อน ๆ ตอนถ่ายแค่เช็ค histogram ให้ไม่หลุดก็สบายแล้วครับ 555

โชคดีมากที่วันนี้ฟ้าแจ่มใสต่างกับเมื่อวานลิบลับ ผมจึงตัดสินใจว่าเช้านี้จะไปเกาะ Murano และ Burano ก่อนเพราะตึกสีสวย ๆ บนเกาะต้องแจ่มสุด ๆ กับบรรยากาศแบบนี้

จากข้อมูลที่หามาผมต้องนั่งเรือไปลงท่า Ca’ d’ Oro แล้วเดินไปขึ้นเรือที่ท่า F Nove แต่ระหว่างที่กำลังเก้ ๆ กังมองหาท่าสำหรับขึ้นเรือ ก็มีคนแต่งตัวเหมือนเจ้าหน้าที่เข้ามาสอบถามว่าจะไปไหน ผมก็เลยบอกจะไป Murano เขาก็เลยให้ข้อมูล ว่าวันนี้มีเรือแบบเหมาลำ (taxi boat) ให้บริการฟรีเพื่อไป Murano ทีแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจ กลัวโดนหลอก แต่สุดท้ายก็ลองตัดสินใจวัดดวงเอา ซึ่งเรือดังกล่าวเป็นเรือที่ปกติให้บริการแบบเช่าเหมาลำซึ่งจอดอยู่ที่ท่าใกล้ ๆ แถวนั้นในภาพด้านบนนั่นเอง … ยิ่งพอลงเรือที่มีแต่เฉพาะพวกเรา 6 คนยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ เกรงว่าจะกลายเป็นหมูให้ชาวอิตาลีเชือด ผมเลยเอากล้องเปิดโหมด VDO ไว้แล้วอัดขณะที่ผมพูดคุยกับพนักงานบนเรือ ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่าเป็นแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะ Murano ที่จะมีบริการไปส่งที่เกาะฟรี (แต่ต้องกลับเอง) เพื่อชมโรงงานทำเครื่องแก้ว พอถึงตรงนี้ผมก็ถึงบางอ้อ ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะเชื่อว่าที่แท้นั้นโรงงานทำเครื่องแก้วนั่นแหละที่จ่ายค่าเรือให้ เพื่อที่จะหาลูกค้าเข้าร้านนั่นเอง ซึ่งไม่แตกต่างจากค่าน้ำตามแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา (คนอยู่แหล่งท่องเที่วอย่างภูเก็ตแบบผมซาบซึ้งเรื่องเหล่านี้ดี หุหุ)

ระหว่างทางนอกจาก VDO แล้วก็บันทึกภาพไปเรื่อย ช่วงแรกเป็นบรรยากาศใน Grand canal ก่อนที่จะลัดเลาะตามคลองเล็ก ๆ ที่เปรียบเสมือนซอยไปสู่ทะเลใหญ่ .. ช่วงนี้ผมใช้ Nik 17-55 เป็นหลัก โดยติด Filter CPL ไว้เกือบตลอด เพื่อเก็บภาพบรรยากาศแบบรวม ๆ ในวันที่ฟ้าแจ่มใส

อุปสรรคของการถ่ายภาพที่ Venice ขณะนั่งเรือคือต้องระวังให้ความเร็วชัตเตอร์ไม่ต่ำเกินไป ไม่เช่นนั้นภาพอาจจะเบลอได้ ผมคิดว่าเผื่อ ๆ ไว้สัก 1/500 ก็จะดี แต่ถ้าแสงไม่พอ 1/250 คงพอไหว ทั้งนี้ขึ้นกับความเร็วของเรือด้วย … หากเพื่อน ๆ มาในวันที่แดดดีเหมือนผม คงไม่ต้องกังวลมาก แต่ถ้ามาในวันแสงน้อยอาจต้องมีการเพิ่ม ISO ช่วยหน่อย ไม่เช่นนั้นค่ารูรับแสงอาจจะน้อยเกินไปไม่เหมาะกับการถ่ายภาพ landscape ประเภทนี้ที่น่าจะตั้งไว้ราว ๆ f/8 – f/11

ปัญหาอีกอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คือแสงและเงารวมถึงสีสันของอาคารที่หลากหลาย ทำให้การวัดแสงทำให้เที่ยงตรงได้ยากมาก แม้กล้องรุ่นใหม่ ๆ จะชาญฉลาดมาก แต่ผมก็ยังอนุรักษ์นิยมเลือกค่าที่พอเหมาะแล้วตั้งเป็น manual ไปเลย ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจกว่าให้กล้องเลือกให้เพราะถ้าพลาดจะมาปรับใหม่อาจเลยจุดที่องค์ประกอบสวยไปแล้ว

พอเริ่มออกทะเลใหญ่ ผมก็ถ่ายภาพได้น้อยลงเพราะลมค่อนข้างแรง พัดเอาละอองน้ำเข้ามา เลยต้อง safe กล้องไว้ก่อน ช่วงนี้เลยเปลี่ยนเอา tele 70-200 ออกมายิงภาพไกล ๆ แทน …

DSC_4062

จากทะเลหมองกลับเข้ามาที่ Venice

DSC_4064

เกาะกลางทะเลก่อนถึง Murano

และผมก็คาดการณ์ไม่ผิด ทันทีที่ลงเรือก็มีผู้ชายหน้าตาดีเชิญพวกเราเข้าไปชมโรงงานทำเครื่องแก้ว ชมสาธิตวิธีการเป่าแก้วที่น่าทึ่งไม่เบา ถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้เข้าไปดูครับ เขาไม่บังคับให้ซื้อหรอก ถ้าพอใจก็ให้ทิปได้

ผมบันทึกการเป่าแก้วเป็น VDO เกือบตลอดการสาธิต ก็เลยมีเพียงภาพนี้ภาพเดียวมาฝากครับ

ผลงานหลังจากการสาธิต

ผลงานหลังจากการสาธิต

ภาพนี้ดัน ISO ไป 500 คุณภาพไฟล์ยังเหลือ ๆ สำหรับเจ้า D7100

จบจากการสาธิตก็ตามด้วยการทัวร์ชมเครื่องแก้วมากมายภายในร้านทั้งแบบราคาเบา ๆ ไปจนถึงราคาสำหรับประดับบ้านมหาเศรษฐี เสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพก็เลยไม่มีภาพมาฝากนะครับ … สรุปรวมความแล้ว เจ้าหน้าที่คงจะมองว่าพวกเราเป็นเศรษฐีชาวจีนมาเที่ยว Venice อาจ Shopping เครื่องแก้วไปประดับบ้านสักล้านสองล้าน ก็เลยรีบมาให้ข้อมูลว่ามีเรือฟรี มองแบบแง่ร้ายผมว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นคงมีส่วนได้ส่วนเสียแบบไม่ต้องสงสัย อิอิ

เราเดินชมกันพอไม่ให้เสียมารยาทก็ออกจากร้านเพื่อหาท่าเรือต่อไปยังเกาะ Burano ปรากฎว่าต้องเดินอ้อมค่อนข้างไกลเลยทีเดียว เพราะอยู่อีกฝั่งที่ต้องเดินลัดเลาะไป ซึ่งระหว่างทางก็มีร้านเครื่องแก้วให้แวะ shopping เป็นระยะ เพราะเกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ผลิตแก้วอันมีชื่อเสียงของ Venice มานานแล้วนั่นเอง

ระหว่างทางเดินไปท่าเรือก็มีมุมสวย ๆ ให้ถ่ายภาพเพียบเลยครับ ยิ่งอากาศอาคารสีสดแบบนี้ เพื่อน ๆ ตั้ง picture style เป็น vivid รับรองได้ภาพสีสวย ๆ แน่ ๆ แต่ถ้าถ่ายภาพบุคคลการไล่โทนของสีผมอาจไม่สวยนัก .. สำหรับผมจึงถ่ายภาพเป็น Raw แล้วไปเลือกทีหลังครับว่าภาพไหนจะ process แสงและสีอย่างไร

DSC_4115

 

 

ตอนไปถึงท่าเรือ พอมีเวลานิดหน่อยก่อนเรือจะมาก็เลยจัดกาแฟกันคนละแก้วที่ร้านติดกับท่าเทียบเรือนั่นเอง เป็นอีกร้านนึงที่กาแฟอร่อยดี แต่ไม่ได้ถ่ายภาพไว้เพราะมัวแต่ดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟและวิวรอบ ๆ ตัว

ที่ท่าเรือมีประภาคารสีขาวสวยเด่นเป็นสง่าแบบนี้ครับ

รอไม่นานนัก เรือโดยสารลำใหญ่สาย 12 ก็มาเทียบท่าเพื่อนำเราไปสู่เกาะ Burano ซึ่งระหว่างทางก็เห็นสิ่งปลูกสร้างร้างตั้งอยู่กลางน้ำ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโดนน้ำท่าวมเนื่องจากภาวะโรคร้อน หรือเป็นเป็นบ้านเรือหรืออาคารที่ถูกทิ้งร้างกันแน่ …

วิวระหว่างทางก่อนถึง Burano

ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เรือก็นำเรามาถึงเกาะ Burano ที่บรรยากาศดูชิล ๆ ใกล้ ๆ ท่าเรือเต็มไปด้วยร้านค้าขายหน้ากาก, ของที่ระลึกต่าง ๆ และผ้าลูกไม้อันเป็นสินค้าขึ้นชื่อของ Burano …

ราคาสินค้าก็แพงไม่ใช่เล่น อย่าลืมคูณ 44 นะครับ อิอิ

DSC_4154

เมื่อเดินลึกเข้าไปก็ถึงสิ่งที่เป็น highlight ของเกาะแห่งนี้นั่นคือบ้านเรือสองฟากคลองที่สีสันจัดจ้านเป็นที่สุด ผมเชื่อว่าบ้านแต่ละหลังคงต้องขออนุญาตก่อนทาสีเพื่อให้ได้สีสันที่ตัดกันกับบ้านหลังใกล้เคียง จนทำให้ทั้งเกาะเต็มไปด้วยบ้านหลากสีเหมือนเดินอยู่ในโรงละครขนาดใหญ่

มาถึงตรงนี้แล้วผมสลับ 17-55 กับ 12-24 มาเก็บบรรยากาศ แต่ดูเหมือนตัวแรกจะควบคุม distortion ง่ายกว่าก็เลยใช้ตัวนี้ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วน CPL ก็ติดไว้คาเลนส์เลย ให้ผลดีมากกับอากาศแบบนี้ ข้อควรระวังนิดเดียวคือถ้าใช้กับพวก wide มาก ๆ อย่าง 12-24 ต้องระวังติดขอบฟิลเตอร์ โดยเฉพาะถ้าเป็นพวกฟิลเตอร์ขอบหนา … เอ่ออย่าพาลคิดไปถึง Pizza นะครับ อันนี้หมายถึงความหนาของตัว filter

ไม่รู้เหมือนกันว่าสีจะสดไปไหน อู้ ๆ

DSC_4158

หันไปทางไหนก็ดูสดใสไปหมดโดยเฉพาะวันที่อากาศดี ๆ แบบนี้ … แถมชาวบ้านที่นี่เขาจะนำผ้ามาตากโชว์อีกต่างหากทำให้ได้บรรยากาศเป็นธรรมชาติไม่ดู fake หรือเรียบร้อยจนเกินไป ดังนั้นใครจะมาเที่ยว Burano อย่าลืมใส่เสื้อสีเจ็บ ๆ หรือไม่ก็ขาวไปเลยนะครับไม่งั้นโดย background กลบความโดดเด่นหมด

DSC_4185

ชุดของใครสีจืดล่ะก็โดนกลบรัศมีหมดเลย อิอิ

มื้อเที่ยงของวันนี้เราตกลงกันว่าทานกันที่ร้านอาหารบน Burano นี่แหละ ซึ่งร้านที่เลือกก็อยู่ย่านใจกลางเมืองค่อนข้างออกไปทางแนวหรูหราหน่อย นับเป็นอีกมื้อนึงที่แพงของทริปนี้ แต่คุณภาพของอาหารก็สมราคาครับ

ทานอาหารเสร็จก็เก็บภาพต่อครับ ขอโทษจริง ๆ ครับถ้าสีแต่ละภาพมันทำให้เพื่อน ๆ ปวดตา ผมเองก็แสบลูกกะตามาก ๆ ตอนถ่าย อิอิ

จาก Burano เรานั่งเรือกลับไปยัง Venice โดยลงที่ท่า Nove จากนั้นจึงต่อเรือไปยังท่า S.Zaccaria ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ Venice …

บรรยากาศใกล้ ๆ ท่า Nove

เมือเรือมาถึงท่า S.Zaccaria ที่นี่คราค่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย อาคารริมน้ำ และเรือกอนโดล่าที่จอดเรียงรายริมฝั่งทำให้ได้บรรยากาศของ Venice แบบเต็ม ๆ พวกเราเดินไปอีกหน่อยเพื่อไปเก็บภาพบริเวณจัตุรัส San Macro อันเป็นที่ตั้งของ Palazzo Ducale, มหาวิหาร St. Macro และแน่นอนว่าเป็นย่าน shopping สินค้า brand name แทบทุกยี่ห้อ

บรรยากาศบริเวณท่าเรือ

DSC_4272

DSC_4294

น้ำทะเลที่นี่ก็ใช่ว่าจะออกแนวสะอาดหมดจรดเหมือนน้ำในทะเลสาบตามแหล่งท่องเที่ยวตามป่าเขานะครับ มีสาหร่ายบ้าง แต่โดยรวมก็ยังดูสะอาดตา ไม่ค่อยมีเศษขยะลอยให้เห็น

DSC_4295

เดินมานิดเดียวก็ถึงอีกหนึ่งมุมมหาชน Bridge of sighs ซึ่งเป็นจุดที่ให้นักโทษได้เห็นแสงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนำตัวไปประหารชีวิต

DSC_4301

เริ่มเดินสำรวจ Piazzaie Roma ซึ่งดูเหมือน 17-55 เริ่มเอาไม่ค่อยอยู่ต้องนำ Nik 12-24 ออกมาเก็บความอลังการของสถานที่เป็นระยะ สลับด้วย 70-200 ที่ใช้เก็บรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรม

ลองใช้เทเลเจาะรายละเอียดบ้าง

ต้องยอมรับเลยครับว่างานศิลปะและสถาปัตยกรรมของเวนิสนี่นอกจากจะยิ่งใหญ่อลังการแล้ว ยังละเอียดมากโดยเฉพาะงานโมเสค

ผมใช้เวลาถ่ายภาพบรรยากาศบริเวณนี้พักหนึ่งก็ชวนเพื่อน ๆ นั่งเรือเที่ยวไปตาม grand cannel เพื่อเก็บบรรยากาศสองฝั่งคลอง ซึ่งเริ่มที่ท่า San Macro แล้วลงเรือสาย 2 ปลายทางที่ท่า Piazzale Roma อันที่จริงมีเรืออีกสายคือสาย 1 แต่จะจอดทุกท่า ทำให้เสียเวลาค่อนข้างเยอะ หากเราไม่ประสงค์จะลงระหว่างทาง การที่เลือกสาย 2 จะถึงจุดหมายเร็วขึ้นครับ ซึ่งระหว่างที่เรือแล่นไปตาม Grand cannel ก็ผ่านจุดสำคัญ ๆ ของ Venice มากมาย วิวสองฝั่งคลองนั้นสวยคลาสสิค ถ่ายภาพกันจนเพลินไม่มีเวลานั่งกันเลยทีเดียว

DSC_4361

ตอนลงเรือก็ต้องพยายามหาทำเลให้ดีครับ ถ้าคนไม่แน่นก็ดีหน่อยเดินไปมาได้สะดวก แต่ถ้าแน่นคงต้องเลือกว่าจะเอาฝั่งหัวเรือหรือท้ายเรือ เพราะอย่างน้อยก็จะเก็บภาพได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา

บางช่วงของ Grand canal โดยเฉพาะบริเวณใกล้ ๆ สะพาน Rialto จะมีเรือ Gondola เยอะเป็นพิเศษ

DSC_4409

เมื่อถึงท่าเรือที่ Pizzale Roma ผมปล่อยให้เพื่อน ๆ เดินกันตามสะดวก ส่วนผมก็เดินเก็บภาพบริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ และแวะหากาแฟดื่มแก้ง่วง ซึ่งพบว่าร้านอาหารใกล้ ๆ สถานีรถไฟราคาถูกกว่าย่านจัตุรัสมาก ๆ ดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ ต้องการประหยัดผมแนะนำให้ทานที่ร้านอาหารใกล้ ๆ สถานีรถไฟครับ พวกแซนวิส, กาแฟหรือแม้แต่เจลาโต้ก็ไม่แพงนักและรสชาติอร่อยด้วย ทั้งนี้ร้านที่ผมทานชื่อ F30 ครับ อยู่ที่อาคารด้านหลังร้าน MANGO

บรรยากาศใกล้ ๆ ท่า Ferrovia หน้าสถานีรถไฟ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถัดจากท่า Pizzale Roma มานิดเดียว

DSC_4429

DSC_4442

เรามีนัดกันก่อนเวลาพระอาทิตย์ตก โดยผมตั้งใจว่าจะไปถ่ายภาพที่ริมน้ำแถวจัตุรัส San Marco แต่เพื่อนในกลุ่มบอกว่าอยากถ่ายภาพที่สะพาน Rialto ผมก็ไม่ขัดศรัทธา เย็นวันนั้นก็เลยได้บรรยากาศ Grand cannel ที่ขนาบไปด้วยอาคารคลาสสิคของ Venice โดยมีเรือกอนโดล่าลอยลำอยู่ริมฝั่ง ระหว่างเดินทางไปยังสะพาน Rialto อาคารสองฟากฝั่งคลองก็โดนย้อมด้วยสีเหลือง ๆ ของแสงอาทิตย์ช่วงค่ำแล้ว อันที่จริงน่าจะเรียกว่าดึกมากกว่าเพราะเวลาก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว

DSC_4446

ปักหลังถ่ายภาพแสงสุดท้ายของวันที่ท่าเรือใกล้ ๆ สะพานริอัลโต

DSC_4464

เสร็จจากถ่ายภาพที่สะพาน Rialto เราก็นั่งเรือต่อไปยังจัตุรัส San Marco ซึ่งยังพอมีแสง Twilight หลงเหลือให้ถ่ายภาพอยู่สักพัก

ภาพนี้บันทึก St Maria of Salute Basilica จากตรงท่าเรือ San marco

DSC_4500

เมื่อฟ้ามืดสนิทแล้วเราก็นั่งเรือกลับมายังท่า Pizzale Roma แล้วต่อรถบัสเพื่อกลับไปยังที่พัก นับเป็นอีกวันที่ได้ภาพเยอะมาก และเหนื่อยน่าดู นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้ายังต้องซื้อฟิล์มเป็นม้วน ๆ เหมือนสมัยก่อนจะต้องเสียเงินเท่าไหร่

เช้าวันรุ่งขึ้นเราใช้สูตรเดิมคือฝากรถแล้วนั่งบัสไปเก็บบรรยากาศยามเช้าอีกครั้ง ระหว่างทางก็เก็บบรรยากาศริมฝั่ง Grand canal กับแสงเช้าซึ่งเป็นคนละแบบกับเมื่อวาน

ซึ่งวันนี้เรามีโปรแกรมเข้าชมความงามของมหาวิหาร San Marco ซึ่งก็ต้องต่อคิวกันยาวทีเดียว และเมื่อถึงคิวก็ต้องโดนให้นำกล้องไปฝากไว้ที่อาคารใกล้ ๆ กันก่อนที่จะเข้าชม ซึ่งพวกเราก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ทำให้ไม่มีภาพสวย ๆ มาฝาก แต่บอกได้ว่าคุ้มกับค่าเข้าชมครับ เพราะงานด้านในสวยงามมากโดยเฉพาะงานโมเสคที่ละเอียดปราณีตสุด ๆ … ผมแปลกใจเหมือนกันที่มีฝรั่งจำนวนไม่น้อยถือกล้องเข้ามาด้วยและก็ถ่ายภาพหน้าตาเฉย บางคนถ่าย VDO ด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าเขาก็ชอบแหกกฎเหมือนกัน แต่เพื่อชื่อเสียงประเทศเราผมขอทำตามกฎดีกว่า อิอิ

ออกจากการชมวิหารก็ได้เวลาปล่อยให้สาว ๆ เดินช็อปปิ้งอีกครั้ง เพราะย่านนี้เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ส่วนผมก็เดินลัดเลาะไปเก็บภาพตามซอกเล็กซอกน้อยบริเวณนั้น

ตอนเดินไปก็ไม่มีจุดหมายครับ พยายามจดจำทิศทางและกลับมายังจุดนัดพบให้ทันเวลาก็พอ ต้องยอมรับครับว่า Venice นี่ใหญ่จริง ๆ และซอกเล็กซอยน้อยเต็มไปหมด ถ้าจะเดินให้ทั่วยังไงก็คงจะต้องหลงบ้างละครับ ส่วนผมก็ได้ภาพไปพอหอมปากหอมคอก่อนที่จะกลับมาเจอเพื่อน ๆ ณ จุดนัดพบเพื่อเดินทางกลับ เพราะวันนี้เรามีแผนเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปของเราที่ Dolomites ซึ่งแน่นอนว่าต้องนั่งเรือกลับไปยังท่า Ple Roma อีกรอบ และก็ได้ถือโอกาสเก็บบรรยากาศทั้งสองฝั่งคลองอีกครั้งเป็นการอำลา Venice อย่างเป็นทางการ

แล้วพบกันตอนต่อไปที่ Dolomite … แนวเทือกเขาอันงดงามทางด้านเหนือสุดของ Italy 🙂