Select Page

Day trip to Berchtesgaden

Day trip to Berchtesgaden
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ผมแอบตื่นขึ้นมาดูท้องฟ้าตลอดคืน ด้วยความหวังว่าฟ้าจะเปิดให้พวกเราได้สนุกกับ Berchtesgaden มากที่สุด แล้วฟ้าก็เป็นใจครับ เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้าใสมาก แทบไม่เหลือวี่แววเมฆทะมึนฝนตกของเมืองวานเลย ผมก็เลยรีบออกไปสวนหลังบ้านเก็บภาพแสงอุ่น ๆ ยามเช้าให้อุ่นใจไว้ก่อน

ถ่ายภาพสนุกสนานบริเวณรอบ ๆ บ้านพัก

พอกลับเข้ามาในบ้านก็พบว่าอาหารเช้าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่จะกว้างขวางกว่าของ Lidy Haus ที่ Hallstatt พอสมควร เพราะห้องพักมีเยอะกว่า แต่ทั้งหมดก็ถูกจัดทำโดยแม่ครัวแค่คนเดียว โดยมีคุณพ่อบ้านช่วยอำนวยความสะดวกนิดหน่อย โดยคุณป้าเจ้าของบ้านเธอแต่งกายชุดท้องถิ่นดูแล้วน่ารักมากครับ และคอยมาดูแลตลอดว่าเราขาดเหลืออะไร

มื้อเช้าของเราที่ Haus Ballwein

หลังจากอิ่มจากมือเช้าแล้ว ผมก็ให้เจ้า GPS ตัวเก่งนำทางไปยัง Berchtesgaden ซึ่งอยู่อีกประเทศหนึ่ง โอโหว นี่เราจะขับรถข้ามประเทศกันเลยทีเดียว แต่ที่จริงมันแค่ราว ๆ 30 กม.เท่านั้น อิอิ … รถค่อย ๆ แล่นห่างตัวเมือง Salzburg ออกมา เผยให้เห็นวิวสองข้างทางที่สดชื่นงดงามไม่ต่างจากวันก่อน ๆ ส่วนใหญ่ถนนจะอยู่เรียบริมลำธารทำให้เช้านี้เป็นเช้าที่สดชื่นมาก ๆ และเพื่อเก็บความทรงจำไว้บนภาพถ่าย ผมก็เลยแวะจอดข้างทางเพื่อถ่ายภาพอีกครั้งก่อนที่จะถึงเมือง Berchtesgaden เล็กน้อย จุดนี้มีทุ่งหญ้าขนาบสองข้างถนน กำลังออกดอกสีเหลืองสวยงามมาก มองเห็น background เป็นยอดเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสวยเกินบรรยาย ทำให้เราใช้เวลาถ่ายภาพตรงจุดนี้อย่างสนุกสนานเกือบครึ่งชั่วโมง

ถ่ายภาพกันไม่ยั้งระหว่างทางก่อนถึง Berchtesgaden

เรามาถึงเมือง Berchtesgaden ก็ขับเลยไปเล็กน้อยตามป้ายที่บอกทางไปยังทะเลสาบ Koenigsee ซึ่งเป็น highlight ประจำวันนี้ เมื่อถึงลานจอดรถขนาดใหญ่ของที่นี่ ผมก็ต้องซื้อตั๋วจอดรถจากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ โดยเลือกแบบจอดทั้งวัน เสียค่าจอดไป 4 ยูโร และนำตั๋วที่ได้วางไว้ที่หน้ากระจกรถยนต์ (วางด้านในนะครับท่าน ถ้าวางด้านนอกอาจโดนฉกไปได้ อิอิ)

เมื่อมั่นใจแล้วว่าตำรวจเยอรมันจะไม่ลากรถเราไป ก็เดินตรงเข้าไปยังศูนย์ข้อมูลเพื่อเช็คว่าวันนี้ Eagle’s nest ซึ่งเป็นจุดชมวิวสำคัญอีกจุดยังไม่เปิดจริงตามที่ผมเช็คทาง internet หรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันตามนั้น ผมจึงต้องปรับแผนขึ้นไปชมวิวบน JennerBahn แทน ซึ่ง JennerBahn เป็นกระเช้าลอยฟ้าอยู่ใกล้กับ Koenigsee นั่นเอง สามารถจอดรถที่เดียวกันแล้วเดินไปได้เลย

ตู้สำหรับจ่ายค่าตั๋วและบรรยากาศด้านหน้าก่อนถึงท่าเรือ

เราเลือกที่จะชม Koenigsee ก่อน เพราะอากาศแบบนี้ทะเลสาบน่าจะสวย แล้วก็ไม่ผิดคาดครับ น้ำในทะเลสาบใสและสวยมาก อีกทั้งเรามากันเช้า คนก็เลยไม่เยอะนัก ทำให้ที่นี่ดูเงียบสงบดีจริง ๆ
เรือค่อย ๆ แล่นออกจากท่าช้า ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่บรรยายเมื่อผ่านจุดต่าง ๆ เป็นระยะ แต่ผมฟังไม่ออกครับเพราะเป็นภาษาเยอรมัน (ดันไม่มีเวอร์ชันอังกฤษซะด้วย) ผู้โดยสารก็ดูจะเป็นชาวยุโรปทั้งหมด มีก็แต่เรากลุ่มเดียวที่หัวดำแอบหัวเราะไปกับเขาด้วยแบบเนียน ๆ เมื่อเห็นเขาหัวเราะ อิอิ

ทิวทัศน์ที่ท่าเรือและระหว่างล่องเรือในทะเลสาบ

เรือใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึง โบสถ์รูปหัวหอม St.Bartholomew อันโด่งดัง เราแวะลงกันที่นี่ บ้างก็ถ่ายภาพ บ้างก็เลือก postcard สวย ๆ ส่งให้ตัวเอง หรือไม่ก็เพื่อนที่เมืองไทย ส่วนผมก็แน่นอนครับเดินถ่ายภาพจนหนำใจ เพราะแสงกำลังสวยมาก ๆ และต้นไม้ที่มีใบสีเขียวอ่อนริมทะเลสาบช่างตัดกับฟ้าสีครามซะเหลือเกิน

ถ่ายภาพกับโบสถ์รูปหัวหอมกันให้หนำใจในวันฟ้าใสแบบนี้

หลังจากถ่ายภาพกันพักใหญ่ เราก็ลงเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานี Salet เพื่อเดินเท้าเข้าไปชม Obersee ซึ่งอยู่ห่างจาก St. Bartholomew อีกประมาณ 20 นาที จากท่าเรือจะต้องเดินเท้าบนเส้นทางแบบสบาย ๆ ท่ามกลางธรรมชาติอีกราว 10-15 นาทีก็จะถึงทะเลสาบ Obersee ที่น้ำใสราวกระจก สะท้อนภาพต้นสนและภูเขารอบทะเลสาบเหมือนภาพวาดไม่มีผิด มองไปไกล ๆ จะเห็นสายน้ำตกที่ทอดตัวลงจากหน้าผา เสียดายที่น้ำในช่วงนี้มีไม่มากนัก และบ่ายนี้เมฆหมอกเริ่มเยอะขึ้นทำให้ภาพไม่คมชัดเท่าที่ควร

ระหว่างเดินทางและน้ำในทะเลสาบที่ Obersee ใสราวกระจก แต่เสียดายที่อากาศเริ่มไม่ดีทำให้ภาพไม่แจ่มเท่าไหร่

หลังจากชื่นชมกับความงามของทะเลสาบสีเขียวมรกตจนอิ่มแล้วก็เดินกลับเพื่อลงเรือกลับไปยังท่าเรือ โดยเราต้องลงเปลี่ยนเรือที่ท่า St. Bartholomew ก่อน เมื่อถึงฝั่งก็เปิบอาหารเที่ยงกันที่ท้ายรถอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางอากาศที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากฟ้าใส ๆ เป็นเมฆดำครึ้ม แต่เราก็ต้องใจดีสู้เสือขึ้น Jenner Bahn เนื่องด้วยซื้อตั๋วมาแล้ว หุหุ

ระหว่างนั่งกระเช้าไฟฟ้าสู่ยอดเขา

กระเช้าไฟฟ้า Jenner Bahn นั่งได้ 2 คน และมีสถานีระหว่างทาง 1 สถานีก่อนจะถึงยอด โดยใช้เวลาจากจุดเริ่มต้นจนถึงยอดเขาประมาณครึ่งชั่วโมง เรียกได้ว่าชมวิวกันจนอิ่มเลยทีเดียว โดยบนยอดเขาจะมีสถานีที่มีร้านอาหารที่ร้ายล้อมด้วยวิว 360 องศา แต่โชคไม่ดีที่วันนี้ฝนตกปรอย ๆ ทำให้อากาศหนาวมาก ๆ ก็เลยใช้เวลาถ่ายภาพบริเวณนี้เพียงสั้น ๆ … และ Highlight ของที่นี่จริง ๆ แล้วต้องเดินลัดเลาะขึ้นเนินไปตามยอดเขาอีกราวครึ่ง กม. จึงจะถึงจุดชมวิวที่สามารถมองเห็น Koenigse และ St.Bartholomew ได้ ถ้าในวันอากาศดีจุดนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยมากทีเดียวครับ เสียดายที่วันนี้มีฝนตก ทุกอย่างก็เลยดูหม่นหมองไปหน่อย และเมื่อสายฝนเริ่มโปรยลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา เราจึงต้องรีบเดินกลับก่อนที่จะแข็งตายบนยอดเขา …

ถ่ายภาพไป หนาวไปที่ยอด Jenner Bahn

กว่าเราจะกลับลงมาถึงสถานีด้านล่างก็ราว 5 โมงเย็น ทำให้เราพลาดโปรแกรมเที่ยวเหมืองเกลือในที่สุด แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะยังดูเหมือนอากาศจะดีขึ้นเล็กน้อยหลังลงมาจาก Jenner Bahn ผมจึงตกลงใจว่าจะไปอีกหนึ่งจุดน่าสนใจที่อยู่ห่างไปเพียง 10 กม. นั่นคือ Ramsau ซึ่งมีโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ริมสายน้ำอันมีฉากหลังเป็นภูเขาที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะสวยงามมาก หลังจากใส่พิกัดใน GPS แล้วผมก็ขับรถเลียบลำธารสายเล็ก ๆ มุ่งสู่อีกหนึ่งหมู่บ้านเล็ก ๆ โดยใช้เวลาราว 15 นาทีเราก็มาถึงสถานที่อันสงบร่มรื่นและน่ารักที่ได้รับการแนะนำต่อ ๆ กันทาง internet แห่งนี้ สะพานไม้ที่ทอดตัวข้ามลำธารใส ๆ ช่วยทำให้องค์ประกอบของภาพสวยงามยิ่งนัก ถ่ายภาพไปก็สดชื่นไป แม้ว่าเราจะเจออากาศไม่ดีบน Jenner Bahn และพลาดโปรแกรมเหมืองเกลือ แต่บรรยากาศและความงามใน Berchtesgaden ที่เราได้ซึมซับวันนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราได้ทราบว่าแคว้น Bavaria ของเยอรมันนั้นสวยงามมากเพียงไหน

โบสถ์ที่ตั้งริมแม่น้ำที่ Ramsau

ระหว่างทางขับรถกลับไปยัง Salzburg เราแวะซื้อของกันใน Ausgang ซึ่ง Supermarket ของเยอรมัน และผมก็ได้ของฝากเป็น Chocolate หลากยี่ห้อจากที่นี่เอง … สำหรับเพื่อน ๆ ที่จะซื้อขนมประเภท Chocolate เป็นของฝากจากยุโรป ก็แนะนำให้ซื้อตาม Super market นี่แหละครับ ถูกที่สุดแล้ว อย่างใน Swiss ก็คือร้าน Coop นั่นเอง … ถ้าไปซื้อจากร้านขาย Chocolate โดยเฉพาะราคาจะสูงกว่าครับ

Day Trip เมือง Berchtesgaden จบลงเท่านี้ แต่ช่วงเย็นเรายังแวะเข้าเมือง Salzburg เพื่อเก็บตก mirabell gardens ตามที่ได้เขียนไว้ในบทความตอนที่แล้ว … โปรแกรมวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เราต้องคืนรถเช่า และเปลี่ยนมาใช้การเดินทางด้วยรถไฟแทน โดยผมขับรถมาทิ้งเพื่อน ๆ 4 คนไว้ที่สถานีรถไฟ ส่วนผมกับเพื่อนอีกคนนำรถไปเติมน้ำมันเต็มถัง และคืนที่สนามบิน ซึ่งระบบการคืนรถของ Mega Drive รวมถึง Brand อื่น ๆ สะดวกมากครับ เพราะจะมีที่จอดรถของบริษัท ฯ เหล่านี้อยู่ที่สนามบิน โดยแบ่ง Zone กันชัดเจน ผมก็เพียงนำไปจอดใน Zone ของ Mega Drive จำหมายเลข block ที่จอด แล้วขึ้นไปติดต่อ office ในตึกเดียวกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่จะลงมาตรวจสภาพรถเป็นอันเรียบร้อย ส่วนถ้าเป็นวันหยุดก็จะมีที่สำหรับ drop กุญแจให้เขามาตรวจสอบภายหลังครับ .. เมื่อคืนรถแล้วผมก็นั่งรถบัสจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟเพื่อเริ่มการเดินทางในอีกประเทศ Switzerland ดินแดนในฝันของผม จะสนุกสนานขนาดไหน ติดตามตอนต่อไปครับ