Select Page

ล่าฝัน  “Maldives” – นั่ง seaplane นอน water bungalow แนบชิดฝูงปลา … สวยสลบ!

พิเศษสำหรับผู้ติดตาม “นายมด”

พูดถึง Maldives บอกเลยว่าเป็นจุดหมายในฝันของผมมาตั้งแต่เด็ก (อืม … นานมากแล้วสินะ) … แม้ว่าจะเกิดมาเป็นชาวเกาะ (ภูเก็ต)  แต่เมื่อเห็นภาพของ Maldives ทีไรก็ต้องหายใจถี่ ๆ แอบเก็บอาการ “อยาก” ไปสัมผัสไว้ในใจเรื่อยมา เพราะทริปไปมัลดีฟส์นั้นก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าค่าใช้จ่ายสูงเอาการ … แต่แล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา Bangkok airways ก็ออกโปรโมชั่นเย้ายวนใจให้แลกแต้มไปยังจุดหมายต่าง ๆ ได้ในอัตราลด 70% จากปกติ  ซึ่งแน่นอนว่ามัลดีฟส์เป็นหนึ่งในเส้นทางการบินของทาง Bangkok airways ด้วย  ผมไม่รอช้านำแต้มที่มีอยู่ของ Kbank จัดแจงโอนไปเป็นแต้ม Flyer Bonus แล้วเปลี่ยนเป็นตั๋วรางวัลสำหรับเดินทาง Phuket-Bangkok-Maldives-Bangkok-Phuket โดยเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ราว 7,000 บาท  ซึ่งก็นับว่าถูกกว่าซื้อตั๋วปกติพอสมควร

ในเมื่อใจง่ายซื้อตั๋วไปแล้ว  ทีนี้ก็เหลือเรื่องการเลือกที่พักใน Maldives ที่ผมต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร  เพราะงบประมาณจำกัดเนื่องจากได้มีการวางแผนทริปพาครอบครัวไปยุโรปไว้แล้วและต้องกันเงินสำหรับทริปดังกล่าวค่อนข้างเยอะ  เมื่อมีทริป Maldives งอกออกมา งานนี้เลยต้องท่องเที่ยวจำกัดงบประมาณหน่อย  แต่แน่นอนว่าโจทย์ที่ผมมีในใจคือ  อยากนั่งเครื่องบินน้ำ (seaplane) + อยากพัก Water Bungalow + อยากชมปลาและปะการังสวย ๆ (เยอะนะเรา มีงบแค่นี้) โดยมี Budget สำหรับการกินอยู่และเดินทางภายใน Maldives ทั้งหมดไม่เกิน 35,000 บาทต่อคน สำหรับ 4 วัน 3 คืน

ผมใช้เวลาหาข้อมูลเปรียบเทียบ resort ต่าง ๆ ในมัลดีฟส์พอสมควร  โดยอาศัยรีวิวของเพื่อน ๆ ใน pantip และศึกษาจาก website ของบริษัททัวร์ ฯ 2-3 แห่ง    ทั้งนี้เมื่อหักค่า Seaplane ที่ประมาณคนละ 15,000 บาทแล้ว  จะเหลือค่าที่พัก + อาหาร สำหรับ 4 วัน 3 คืนอยู่ที่ 40,000 บาทสำหรับ 2 คน   เฉลี่ยแล้วค่าที่พักพร้อมอาหาร 3 มื้อจะอยู่ที่คืนละ 13,300 บาท

ผมใช้โจทย์นี้คัดสรรรีสอร์ทที่ราคาอยู่ในงบประมาณ  มีคะแนนรีวิวดี ๆ และมีแนวปะการังรอบเกาะเยอะ (ดูข้อมูลจาก website www.mondomaldive.com) ได้ list ของรีสอร์ทมา 4-5 แห่ง  จากนั้นก็เทียบราคาจากบรรดา online travel agent และ agent ทั่วไปที่ทำทัวร์ Maldives  ทั้งนี้ผมติดต่อ agent ทั่วไปของไทยแค่ที่เดียวเพราะทราบมาว่าส่วนใหญ่ราคาจะเท่า ๆ กันอยู่แล้ว   ซึ่งเมื่อเทียบระหว่าง agent ทั่วไปกับ online ก็พบว่าราคาเท่า ๆ กันผมจึงตัดสินใจจองกับ agent ทั่ว ๆ ไปเจ้าดังกล่าว  เพราะน้องที่ติดต่อด้วยให้ข้อมูลดีมาก และดูจาก facebook page และ website ก็น่าเชื่อถือ  คงไม่ปล่อยผมไปติดเกาะที่โน่นแน่ ๆ  หุหุ

แต่น แตน แต๊น … สรุปแล้วผมจองรีสอร์ทที่ชื่อ Chaaya Reef Ellaidhoo ซึ่งเป็นรีสอร์ท 4 ดาวที่มีระดับความหนานแน่นของปะการังรอบเกาะที่ 4 เต็ม 4 (ตามคะแนนของ www.mondomaldive.com) และอ่านรีวิวใน Trip advisor แล้วก็ได้รับเสียงชื่นชมในเรื่องของปะการังเยอะ  อาหารก็มี complain น้อยเมื่อเทียบกับรีสอร์ทอื่น ๆ ส่วนที่เป็นข้อด้อยคงเป็นเรื่องการคิดเงินค่า WiFi และห้องที่ผมทำใจล่วงหน้าว่าอาจจะไม่ได้ใหม่และหรูหราอะไรนัก (เป็นไปตาม budget 555)

ข้อมูล agent  ผมจองกับ Maldives Travel Experts โดยติดต่อกับคุณต่ายครับ  ใครสนใจก็ติดต่อกันได้เองเลยที่ http://www.maldives-experts.com/

ก่อนวันเดินทาง  เอกสารทุกอย่างก็ถูกส่งมาให้ได้แก่ voucher, ใบเสร็จรับเงิน, ของที่ระลึก (กระเป๋าสะพายสำหรับผู้หญิง) และคำแนะนำการท่องเที่ยวมัลดีฟส์  โดยมีเอกสาร ตม. เข้า-ออก ทั้งไทยและมัลดีฟส์ที่กรอกเรียบร้อยแนบมาด้วย  (เออ ไปกับทัวร์มันดีแบบนี้นี่เอง ปกติผมเที่ยวเอง  นอกจากต้องทำเอกสารพวกนี้เองแล้ว ยังต้องทำให้เพื่อนในกลุ่มด้วย T T)

ใกล้ ๆ วันเดินทาง เจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์โทรมาหาเพื่อ brief อีกครั้ง  … แหม่  ผมนี่โคตรรู้สึกดีเลยเพราะทุกครั้งที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ  ผมจะต้องสรุปข้อมูลการเดินทางทุกอย่างและ brief ให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง  … รอบนี้เป็นผู้ฟังบ้าง น้ำตาจิไหล

ก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวกัน ฝากช่องทางติดตามผลงานของ “นายมด” (9Mot) ด้วยนะครับ

วันเดินทาง

ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เศษ ๆ เพื่อขับรถมาสนามบินภูเก็ต  จัดแจงฝากรถไว้กับร้านรับฝากเจ้าประจำหน้าสนามบิน (วันละ 100 บาท)  จากนั้นก็รอคิว check in  ผ่านขั้นตอนศุลกากร ซึ่งทุกอย่างเรียบร้อยดี  เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ผมมีเวลาระหว่างต่อเครื่องราว 1 ชม. ซึ่งดูเหมือนเยอะ แต่ผมกลับวิ่งหน้าตั้งเพราะต้องไปซื้อเลนส์ที่ Kingpower สำหรับกล้องตัวใหม่ (จะว่าไปทริปนี้เป็นทริปประเดิมกล้องตัวใหม่ด้วยนะเออ อิอิ)  …  เวลาจินจวนไปนิดแต่ก็ผ่านไปได้เรียบร้อยดี  ผมไปนั่งอยู่บนเครื่องทันเวลา  แต่ว่าที่นั่งไม่ได้อยู่แถวหน้าหรือหลังเครื่องแบบที่ขอให้ทาง Bangkok airways ช่วยดำเนินการให้  แถมอยู่ตรงปีกพอดิบพอดี  ตอนนั้นแอบเคืองเจ้าหน้าที่รับจองนิด ๆ โทษฐานไม่ดำเนินการให้ตามที่ขอ  เพราะผมอยากได้มุมเปิดสำหรับถ่ายภาพสวย ๆ จากเครื่องบินขณะร่อนลงสนามบินมัลดีฟส์นั่นเอง … พอเครื่องขึ้นสักพักก็เลยยิ้มหวาน ๆ กับน้องแอร์โอสเตท ขอย้ายที่นั่งไปโซนหน้าเพราะ flight วันนี้ค่อนข้างว่าง  น้องเขาก็ใจดีครับอนุญาตให้ย้ายไปได้  แต่พอไปนั่งจริงกลับพบว่าที่นั่งหน้าสุดของโซน economy ก็ยังไม่เหมาะกับการถ่ายภาพอยู่ดีเพราะยังติดเครื่องยนต์ jet ใต้ปีก  ผมจึงเปลี่ยนใจกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งเพราะแม้จะนั่งตรงกับปีกแต่ก็ยังพอถ่ายภาพด้านหน้าและหลังปีกได้ (ไม่ได้ลองเดินไปด้านหลังครับ กลัวน้องเขาดุเอา ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไร)  … อ้อ  ผมนั่งทางฝั่งซ้ายของเครื่องนะครับ

เครื่องใช้เวลาบิน 4 ชม. เศษ  มีภาพยนตร์ sound track, sub title จีนให้ชม 1 เรื่อง (แอบเคืองทำไมไม่ sub Thai)  พอเครื่องเริ่มลดระดับผมก็เตรียมอาวุธในมือพร้อมบันทึกภาพ … แม้อากาศจะไม่ค่อยดีนัก เมฆเยอะและฟ้าหลัว ๆ หน่อย  แต่ภาพ Atoll ที่เครื่องบินกำลังเคลื่อนผ่านก็ทำให้ผมตื่นเต้นไม่น้อย กดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพเป็นระยะ

ใกล้ถึงแล้วคร้าบ .. เริ่มมองเห็น Atoll กับรีสอร์ท .. สีของน้ำกับทรายสวยสลบจริง

DSC_0324

DSC_0333

DSC_0342

DSC_0350

วิวจากหน้าต่างขณะเครื่องร่อนลง

 

เครื่องลงจอดแบบราบรื่น  ผู้โดยสารได้รับเชิญให้เดินลงจากเครื่องแล้วก็เดินเข้าสนามบิน (ไม่มีรถมารับนะครับ เพราะสนามบิน Ibrahim Nasir International Airport ของ Male ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Maldives นั้นค่อนข้างเล็ก  จากนั้นก็ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า และผ่านด่านศุลกากร ก่อนที่จะออกไปอาคารฝั่งผู้โดยสารขาเข้า …

ลงจากเครื่องบินก็เดินไปอาคารผู้โดยสารครับ

DSC_0363

DSC_0362

เจ้าหน้าที่ตัวแทนของโรงแรมได้มารอรับอยู่แล้ว   ผมแจ้งว่าต้องการซื้อ Sim Internet เจ้าหน้าที่ก็นำไปยัง office ของบริษัทมือถือที่ให้บริการดังกล่าว (อยู่ตรงข้ามกับ counter check in ของ seaplane)   รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งาน internet ที่ Maldives ผมขอเขียนสรุปให้ช่วงท้ายนะครับ

ซื้อ Sim เสร็จ  ทางเจ้าหน้าที่ก็นำสัมภาระมา check in เพื่อเดินทางต่อด้วย seaplane รวมถึงทำการชั่งน้ำหนักของทุกอย่างที่จะถือขึ้นเครื่องด้วย  ทั้งนี้เพื่อคำนวณน้ำหนักให้เหมาะสม (สัมภาระที่จะโหลดบน seaplane ได้คนละ 20 กก. นะครับ) … จากนั้นก็ถูกเชิญขึ้นรถตู้เพื่อนำไปยังท่าเรือของ Seaplane ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยทันที  ไม่มีโอกาสได้ลงไปชมน้ำใส ๆ ริมสนามบินเหมือนกับที่เคยอ่านรีวิวมา (ผมนี่ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ แต่ก็ต้องยอมโดยดีเพราะกลัวพลัดหลง 555)

แอบถ่ายผ่านกระจกบานหลังของรถไว้หน่อยนึง น้ำสีฟ้าใสสวยจริง ๆ

DSC_0365

 

รถบัสนำเราขับเลียบสนามบินไปยัง  Terminal ของสนามบินน้ำ  วิวจากกระจกทำให้ตื่นเต้นมาก ๆ

DSC_0370

Terminal สำหรับขึ้น Seaplane นั้นมีด้วยกัน 3 ท่า (A, B และ C  น่าจะบินไปคนละทิศกัน)  ของผมได้นั่งรถบัสไกลสุดเพราะต้องไปขึ้นเครื่องที่ Terminal C … เมื่อมาถึงก็ติดต่อที่ประชาสัมพันธ์  เจ้าหน้าที่ใช้เวลาหา flight ของผมนานกว่าของคนอื่นมาก (แอบตกใจว่า เฮ้ย ตกหล่นหรือเปล่าฟะ)  แต่ปรากฏว่า flight ของผมนั้นต้องรออีก 2 ชม.ก็เลยยังไม่อยู่ใน list ที่ขึ้นมาในหน้าจอปัจจุบัน … เจ้าหน้าที่ทำการมอบ boarding pass สำหรับ seaplane แถมด้วย voucher ทานอาหารเครื่องดื่มที่ร้านอาหารภายใน Terminal C (ไม่แน่ใจว่ากลุ่มที่ได้ขึ้นเครื่องเลยจะได้ voucher อาหารหรือเปล่า)

มื้อแรกที่ Maldives ก็ not bad ครับ  มีข้าว, แกงจำพวกแกงกะหรี่, สปาเก็ตตี้  นอกจากนี้ผมซื้อ Magnum มาทานเพิ่มเพราะอากาศร้อน ราคา 3 USD (พอ ๆ กับเกาะไข่ที่ภูเก็ตเลย อิอิ) .. ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ได้มีโอกาสถ่ายภาพเครื่องบินน้ำที่จอดอยู่ริมท่า รวมถึงภาพตอนขึ้นและลง  แถมแอบไปดู lounge ห้องแอร์ของ W ที่มีไว้รองรับลูกค้าของเขาโดยเฉพาะด้วย …  เนื่องจากสถานที่นั่งรอเป็น open air หากร้อนมาก แนะนำให้เข้าไปเดิน ๆ ที่ร้านขายของที่ระลึกหรือห้องน้ำครับ เพราะติดแอร์เย็นฉ่ำ … พอผมเดินเข้าร้านขายของนั่นแหละ  เสียงทักทาย “หนีห่าว” ลอยตามมาเลย อิอิ

ต้องรอเครื่องนาน เลยมีเวลาเก็บภาพอย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบร้อน

DSC_0376

DSC_0394

DSC_0377

และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึงครับ  2:15 pm  ก็มีประกาศเรียกขึ้นเครื่อง  ผมรีบเดินไปจับจองที่นั่งด้านหน้าเป็นคนแรก  ที่เหลือเป็นชาวจีน ขึ้นเครื่องไปพร้อมกัน … การร่อนขึ้นไม่รู้สึกหวาดเสียวอะไรเลย และทันทีที่เครื่องเลยพ้นน้ำ  ภาพที่เฝ้าฝันไว้ก็ปรากฏตรงหน้า …  น้ำสีฟ้าใสตัดกับสีครามเข้ม .. วงแหวนปะการังสวย ๆ ปรากฎชัดเจน… วินาทีนั้นมันตรึงตาตรึงใจมาก  และผมก็ไม่พลาดที่จะบันทึกภาพเหล่านั้นไว้มากที่สุดเท่าที่จะมุมถ่ายภาพจะอำนวย

วิวจาก seaplane สวยจนลืมหายใจครับ … เกาะที่มีตึกเยอะ ๆ  คือ Male เมืองหลวงของ Maldives

DSC_0438

DSC_0442

สนามบินของ Malidves

DSC_0440

ดูบรรยากาศจาก VDO กันบ้าง

 

หลังจากเครื่องขึ้นได้ราว 10 นาที  กลุ่มวงแหวนปะการัง (Atoll) ก็ไม่มีให้เห็นแล้ว  เหลือเพียงสีครามเข้มของมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง … เครื่องบินใช้เวลาราว 25 นาทีก็เริ่มลดระดับลง  และเป็นอีกช่วงที่เริ่มเห็น Atoll อีกครั้ง  แต่เนื่องจากรีสอร์ทที่เราพักอยู่ตอนต้นของ Atoll นี้ทำให้เห็นแค่นิดเดียวก็ต้องร่อนลงแล้ว

ระหว่างเครื่อง seaplane กำลังร่อนลง … เห็นวิวของอีกรีสอร์ทใกล้ ๆ กัน

DSC_0468

ลำนี้แหละครับเครื่องบินส่วนตัว เอ้ยเครื่องบินที่นำเรามายังรีสอร์ท (อยากได้ไว้ซักลำ อิอิ)

ขาลงก็ชิล ๆ ไม่รู้สึกน่ากลัวแต่อย่างใด   เครื่องค่อย ๆ แล่นเข้าไปหาโป๊ะกลางน้ำซึ่งเป็นจุดที่เรือจากรีสอร์ทจะมาเทียบเพื่อรับผู้โดยสาร …

เรือของรีสอร์มารับแว้ว

 

DSC_0485

พนักงานต้อนรับชาวจีน 2 คนมารอพร้อมอยู่แล้ว (คงเป็นเพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนจีนนั่นเอง) … ขึ้นเรือปุ๊ปพนักงานก็แจกชูชีพ (ดูแล้วขาดการบำรุงรักษาไปหน่อย) … จากโป๊ะกลางทะเลนั่งเรือของโรงแรมราว 5 นาทีก็ถึงเกาะอันเป็นที่ตั้งของ Chaaya Reef Ellaidhoo … แค่น้ำที่ท่าเรือก็ทำให้เราใจละลายแล้ว  เพราะน้ำทะเลมันใสและสีฟ้าของบริเวณน้ำตื้นตัดกับสีครามเข้มบริเวณน้ำลึกสวยมาก ๆ

ท่าเทียบเรือของรีสอร์ท

DSC_0512

Lobby ตั้งอยู่เข้าไปด้านในเล็กน้อย  เป็นแบบ open air ที่พื้นบางส่วนเป็นทรายเข้ากับบรรยากาศของรีสอร์ทดีแท้ … หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อย  พนักงานก็ทำการติดสายรัดข้อมือสีส้ม (เป็นสัญลักษณ์ว่าเราซื้อ all inclusive package จะว่าไปไม่ชอบนัก รู้สึกเหมือนเป็นคนไข้) จากนั้นพนักงานเดินนำไปยังห้องพัก  ผ่านห้องอาหารที่ให้บริการ 3 มื้อ  และบาร์ซึ่งให้บริการถึงเที่ยงคืน  ทั้งนี้ผมจองแบบ inclusive package ก็จะรวมอาหารทั้ง 3 มื้อและเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่บาร์ไม่จำกัด (ยกเว้น premium brand/cocktail ที่ให้เฉพาะแขกที่พัก 7 คืนขึ้นไป)

DSC_0711

DSC_0712

DSC_0513

ที่พักคืนนี้เป็นแบบ Beach bungalow ห้อง344 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะ  ซึ่งเป็นฝั่งที่ไม่ค่อยมีชายหาด  (หากเลือกได้ขอแนะนำให้เลือกห้อง 303-310 ซึ่งอยู่ฝั่งทิศใต้และตะวันตกจะได้วิวและหาดที่สวยกว่าครับ)

DSC_0749

 

DSC_0700

DSC_0516

ห้องพักแบบ Beach Bungalow ดูไม่ได้ว้าวนัก (อันนี้ตามคาด)  ด้านหลังห้องเป็น shower แบบ open air เรื่องพื้นที่โดยรวมของห้องก็ ok ไม่คับแคบ  ซึ่งก็เป็นลักษณะทั่วไปของโรงแรมใน Maldives

หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินสำรวจรอบเกาะ  ผมเดินเก็บภาพไปเรื่อย ๆ จนถึงสระว่ายน้ำของโรงแรมที่อยู่ฝั่งตะวันตก และเป็นที่ตั้งของ water bungalow ด้วย … ที่นี่มีห้องอาหารอีกแห่งสำหรับบริการลูกค้า water bungalow โดยเฉพาะ  ส่วน bar และสระว่ายน้ำนั้นเราก็สามารถใช้บริการได้เช่นเดียวกัน

DSC_0536

DSC_0552

DSC_0556

เวิ้งอ่าวซึ่งเป็นที่ตั้งของ water bungalow นอกจากมีสีฟ้าสวยงามแล้วยังมีฝูงปลาเล็กปลาน้อยให้ชมด้วย แต่ที่ทำให้ตื่นเต้นเป็นพิเศษคือได้เจอลูกปลาฉลามว่ายวนเวียนไปมาหลายตัวเลยทีเดียว  (หูดำ ๆ ของมันช่างน่าเอามาทำซุบซะนี่กะไร อิอิ)

DSC_0549

ดำน้ำลงไปดูแบบใกล้ชิด อิอิ

 

ช่วงเย็นของวันตอน 5 โมงเศษ  ที่บริเวณบาร์ฝั่งใกล้กับท่าเรือของรีสอร์ท จะมีการโชว์ให้อาหารปลาทุกวัน  และนี่เป็นสิ่งที่ผมรอคอยเหมือนกัน  … เราไปช้านิดหน่อย มีนักท่องเที่ยวจำนวนนึงยืนชมพร้อมเสียงฮือเป็นระยะรออยู่ก่อนแล้ว … เมื่อแทรกตัวได้ก็ต้องฮือไปกับเขาด้วยเพราะปลาแต่ละตัวที่มากินอาหารนั้นตัวใหญ่มาก  แถมว่ายน้ำเร็วยังกะปลาปิศาจในหนัง  มีทั้งตัวสีดำและสีเทา  แอบตกใจเล็กๆ ที่เห็นนักท่องเที่ยวบางคนลงไปบันทึกภาพในน้ำด้วย  ไม่กลัวปลามันกินรึไง (แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากลงไปชิดขอบจอแบบนั้นบ้างเหมือนกัน อิอิ)

DSC_1138

มื้อค่ำวันแรก  เราเดินมาทานที่ห้องอาหารใหญ่ของโรงแรม  โต๊ะจะถูกจองไว้แล้ว  ปกติแล้วเราต้องมานั่งโต๊ะเดิมตลอดการเข้าพัก (แต่ของผมมีการเปลี่ยนห้องจึงเป็นข้อยกเว้น)  และจะมีพนักงานคนเดิมคอยบริการตลอด . อาหารเป็นแบบ Buffet เริ่มตอน 7:30 pm  มีอาหารหลากหลายพอสมควร  ที่น่าแปลกใจคือมีเมนูที่ทำจากหมูด้วย  ทั้ง ๆ ที่พนักงานและคนส่วนใหญ่ของ Maldives นับถือศาสนาอิสลาม  ผมคิดว่าทีรีสอร์ทแห่งนี้มีลูกค้าฝรั่งเยอะมากนั่นเอง (ส่วนใหญ่มาดำน้ำ)  ทำให้อาหารค่อนข้างมีเมนู international มากกว่าอาหารท้องถิ่น  ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับคนไทยน่าจะดีเพราะคุ้นเคยกับอาหารเหล่านี้มากกว่าอาหารท้องถิ่นของ Maldives  สำหรับรสชาติอาหารหลาย ๆ เมนูก็ถือว่า ok ครับ  ไม่ถึงกับเลิศ  แต่ก็ทานได้สบายดี

คืนเดือนมืดก็เลยเห็นดาวเยอะแยะไปหมด เสียดายที่มีเมฆเยอะเลยไม่สวยนัก

กลับมาจากมื้อค่ำ  มีจดหมายแจ้งว่าพรุ่งนี้เช้าต้องย้ายห้องตอน 9:30 am ผมก็แปลกใจเล็กน้อยเพราะปกติแล้วต้องนอน Beach Bungalow 2 คืนแล้วจึงย้ายไป Water Bungalow ในคืนสุดท้าย   แอบกลัวเหมือนกันว่าจะให้ไปคืนเดียวแล้วย้ายเรากลับป่าวว้า 555 … แล้วคืนแรกก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

DSC_0737

DSC_0736

มื้อเช้า

DSC_0751

หลังมื้อเช้าที่ห้องอาหารเดิมเราก็ติดต่อที่ front เพื่อรับกุญแจห้องใหม่พร้อมข่าวดีว่าไม่ต้องย้ายห้องแล้ว เย้ๆๆๆ (เสียงดัง ๆ ในใจ)  ที่สำคัญห้องของเราคืนนี้คือห้อง 413 ซึ่งอยู่ตรงกลางของทั้งหมดเป็นหลังริมสุดด้านนอกเลย  ผมว่าน่าจะเป็นหลังที่วิวเจ๋งสุดแล้วล่ะ (แอบเข้าข้างตัวเอง)

แม้ภายนอกจะดูเฉย ๆ ไม่ in trend แต่ภายในห้องแบบ Water Bungalow ของที่นี่ให้บรรยากาศทะเลมาก ๆ .. เพดานสูงโปร่ง  เตียงหันไปทางทิศตะวันตก  มีระเบียงชมวิว  ส่วนที่เป็น bath tub เป็น open air .. โอ้วนี่แหละมันถึงได้บรรยากาศมัลดีฟส์จริง ๆ  …แม้การตกแต่งยังไม่ถึงขั้นหรูหรา แต่สำหรับผมมันเพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้สึกว่ามาถึงมัลดีฟส์แล้วจริง ๆ

ได้ย้ายมาห้อง water bungalow ฟินสุด ๆ

DSC_0834

วันนี้อากาศดีมาก ๆ  แม้ท้องฟ้าจะมีเมฆอยู่บ้างแต่ก็ยังเผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามสวย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อฟ้าเป็นแบบนี้และมีแสงแดด  น้ำทะเลก็แสนจะสวยบาดใจ … ผมใช้เวลาวันนี้ไปกับการนอนพักผ่อนในห้อง สลับกับการไปนั่งดื่มชิล ๆ ที่บาร์  และลงไปชิมลางกับการดำน้ำแบบ Snorkel ที่เวิ้งอ่าวของ Water Bungalow

DSC_0835

DSC_0824

DSC_0842

มื้อเที่ยงและมื้อค่ำวันนี้  เราย้ายกันมาทานที่ห้องอาหารฝั่งทิศตะวันตก  ซึ่งมีที่นั่งน้อยกว่ามากเพราะให้บริการเฉพาะส่วนที่เป็น Water Bungalow ทำให้รู้สึกโล่งกว่าเพราะคนไม่เยอะ  แม้ว่าความหลากหลายของอาหารจะน้อยกว่าหน่อยก็ตาม

อากาศวันนี้ดีกมาก  เพลิดเพลินกับการถ่ายภาพตั้งแต่เช้ายันเย็น

DSC_0914

DSC_0912

DSC_0921

 

รุ่งอีกวันผมรีบทานอาหารแต่เช้า แล้วลงน้ำเพื่อออกไปชมปะการังโซนที่อยู่รอบคันปูนของรีสอร์ท  ซึ่งจะเป็นจุดที่ปะการังยังสมบูรณ์อยู่มากและปลาก็มีหลากหลายทั้งตัวเล็กตัวใหญ่  นับเป็นประสบการณ์ดำน้ำตื้นที่ดีที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว

ห้องอาหารฝั่ง water bungalow ขนาดย่อมแต่ไม่พลุกพล่าน

DSC_0984

โลกใต้น้ำที่รีสอร์ท

ผมใช้เวลาเพลิดเพลินกับการดำน้ำตื้นราว 2 ชม. ได้แผลมานิดหน่อยเพราะน้ำตื้นมากทำให้แข้งขาไปโดนหินบ้าง

หลังจากน้ำเริ่มขึ้นสูงและเข้าสู่ช่วงเที่ยง ผมเปลี่ยนกิจกรรมเป็นถ่ายภาพเพราะเป็นช่วงที่น้ำมีสีสันสวยงามที่สุด   นับเป็นอีกวันที่สบายและผ่อนคลายมาก ๆ เพราะไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องวางแผนอะไรมากมายเหมือนทริปอื่น ๆ ของผม (ผมชอบขับรถท่องเที่ยว ซึ่งแต่ละวันต้องวางแผนการเดินทางและขับรถไกลทำให้มีเรื่องต้องคิดเยอะ ไม่ค่อยได้ผ่อนคลายนัก)

เปลี่ยนชุดถ่ายภาพกันสนุกสนาน อิอิ

เย็นวันนั้นผมตัดสินใจลงน้ำเพื่อจะไปบันทึกภาพใต้น้ำของการให้อาหารปลา  ยังไม่ทันที่กิจกรรมจะเริ่มก็มีฝรั่งคนนึงบอกว่าขึ้นมาเถอะเพราะมันอันตราย บางครั้งปลามันว่ายเร็วมากอาจมาชนเราจนบาดเจ็บได้ … ผมก็ว่าง่ายครับรีบขึ้นมาเพราะด้านล่างน้ำมันไม่ใสเท่าที่ควรด้วย ทำให้ภาพใต้น้ำไม่ชัดนัก   แต่ก็มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่ยังปักหลักสัมผัสบรรยากาศใต้น้ำ

วันนี้คุณลุงที่ให้อาหารปลายังคงทำหน้าที่อย่างอารมณ์ดีเช่นเคย  โดยมีเจ้านกกินปลาและปูตัวดำ ๆ (ที่บ้านเราใช้ทำปูเค็ม) คอยให้กำลังใจแกอยู่ตลอดการทำกิจกรรม)

แสงเย็นวันสุดท้าย

DSC_1182

DSC_1183

คืนสุดท้ายที่ Malidves ลมแรงมาก (จนแอบกลัว)  พาลคิดไปว่าพรุ่งนี้การเดินทางจะมีปัญหาไหม   แต่พอรุ่งเช้าทุกอย่างก็กลับมาสดใส  ไม่มีฝน ไม่มีลม … เป็นแบบที่หลาย ๆ คนบอกจริงๆ  ว่าที่มัลดีฟส์นั้นจะมีฝนตกบ้าง  อาจสัก 2-3 ชั่วโมงแล้วก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิม … บอกตรง ๆ ว่าพยากรณ์อากาศที่ผมดูก่อนเดินทางบอกว่าที่นี่จะมีมรสุมทุกวัน  แต่เอาเข้าจริงผมรู้สึกได้เลยว่าอากาศมากกว่า 60% อากาศดี ที่เหลือครึ้ม ๆ บ้างกับมีฝน  ต่างกับทะเลบ้านผมที่เมื่อถึงฤดูฝนแล้วอาจเจอฝนตกติดกัน 3-4 วันโน่นเลย

กลางคืนลมแรงมากเหมือนมีพายุ แต่เช้าขึ้นมาอากาศปลอดโปร่ง

DSC_1285

DSC_1291

หลังอาหารเช้าก็จัดแจงเก็บสัมภาระ เดินไปคืนกุญแจที่ lobby … เจ้าหน้าที่แจ้งว่าหากเครื่องบินออกจาก Male เมื่อไหร่จะเรียกอีกครั้ง  ตอนนี้ก็ให้นั่งพักผ่อนชมวิวไปก่อน (เวลาของเครื่องบินน้ำนั้นจะถูกจัดการและวางแผนโดยบริษัทที่รับผิดชอบทั้งหมด  ให้เหมาะสมกับจำนวนคนและเวลาที่เราจะไปต่อ ณ สนามบิน Male ด้วย)

ผมรอราวครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็เชิญเราลงเรือเพื่อไปขึ้นเครื่องยังโป๊ะกลางทะเล …

นั่งเรือจากโรงแรมไปยังโป๊ะกลางทะเล ทะเลจับใจ

DSC_1314

DSC_1318

บนเครื่องมีผู้โดยสารอยู่แล้ว  ซึ่งเครื่องบินรับเราเสร็จก็ไปส่งผู้โดยสารกลุ่มนี้ที่ W resort ซึ่งอยู่ห่างออกไป 5 นาที  นับเป็นโชคดีของผมที่ได้บันทึกภาพเครื่องบินขึ้นและลง 2 รอบ  และยังได้มีโอกาสบินผ่าน Atoll สวย ๆ อีกหลายแห่ง  นับเป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายและน่าประทับใจจริง ๆ

DSC_1359

DSC_1499

ถึงสนามบินแล้ว … ผมว่านี่เป็นสนามบินที่มีทัศนียภาพทางอากาศสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

DSC_1548

DSC_1553

DSC_1559

เรามาถึงสนามบิน Male และยังพอมีเวลาเหลือ  ก็เลยหาอะไรรองท้องกันนิดหน่อยก่อนจะ check in ซึ่งราคาอาหารก็แพงพอสมควร (8-11 USD สำหรับพวก burger หรืออาหารจานเดียว)

ขากลับผมยังคงได้นั่งที่เดิม  แต่รอบนี้ไม่ขวนขวายจะเปลี่ยนที่นั่งแล้ว  เพราะ 4 วันที่ผ่านมาและการได้บันทึกภาพจาก Sea plane ระหว่างที่เดินทางจากรีสอร์ทมาสนามบิน  ทำให้ผมอิ่มเอมกับความงาม Maldives เพียงพอ  และถือว่าเป็นอีกหนึ่งความฝันอันสวยงามที่วันนี้ได้กลายเป็นความจริงแล้ว

 

สรุปค่าใช้จ่าย

  • ค่าตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ Bangkok Airways   ภูเก็ต-กรุงเทพฯ-มัลดีฟส์-กรุงเทพฯ-ภูเก็ต  6,855 บาท
    ทั้งนี้ใช้ promotion แลกแต้มลด 70% ที่ออกมาเมื่อปลายปี 2557
  • ค่าที่พักแบบ All inclusive ที่ Chayaa Reef Ellaidhoo แบบ Beach Bungalow 2 คืน + Water Bungalow 1 คืน + Sea plane ระหว่างสนามบิน Maldives กับรีสอร์ท  คนละ  35,000  บาท
    ทั้งนี้จองผ่าน Maldives Experts โดยราคานี้เป็นราคาต่อคนเมื่อพัก 2 คน  (หากพัก 3 คนราคาต่อคนจะต่ำลงนิดหน่อย)  ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นค่า Sea plane ราว 15,000 บาท  ที่เหลือเป็นค่าห้องพักพร้อมอาหารและเครื่องดื่มครับ
  • ค่าใช้จ่ายจิปาถะได้แก่ ซื้อ Snorkel + ขนมขบเคี้ยว และทิปพนักงาน รวม ๆ แล้วคนละ  3,000 บาท โดยประมาณครับ

ดังนั้นรวม ๆ แล้วทริปนี้ผมจ่ายไปคนละ  45,000 บาทโดยประมาณ   ถามว่าถูกไหมก็ถือว่าไม่ถูกล่ะครับสำหรับการท่องเที่ยว 4 วัน  แต่หากถามว่าคุ้มไหมสำหรับประสบการณ์ที่ได้รับ  ก็ต้องตอบว่าคุ้มแสนคุ้ม เพราะวิวที่เห็นมัน “สวยสลบ!” จริง ๆ ….

 

ความคิดเห็นเกี่ยวกับรีสอร์ท Chayaa Reef Ellaidhoo

ข้อดี

  • เป็นรีสอร์ท 4 ดาวที่ราคาไม่แพงมากนัก  มี package ให้เลือกหลากหลาย  ทั้งรวมอาหารเป็นบางมื้อและ all inclusive
  • อาหารมีความหลากหลาย รสชาติ ok
  • ปะการังน้ำตื้นสวยงามมาก ๆ  ปลาก็เยอะและหลากหลาย
  • ระยะทางห่างจากสนามบิน Male ไม่ใกล้ ไม่ไกล (42 กม)  จะเลือกนั่งเครื่องบินน้ำ (25 นาที) หรือ Speed boat (90นาที) ก็ได้
  • พนักงานยิ้มแย้มและเป็นมิตรดี
  • มีกิจกรรมหลากหลายที่ให้ใช้บริการได้ฟรีนอกจากอาหารและเครื่องดื่ม เช่น แบตมินตัน, เทนนิส, บิลเลียต เป็นต้น

ข้อสังเกต

  • พื้นที่ชายหาดไม่เยอะนัก  ไม่มีสันทรายยื่นลงไปในทะเลเก๋ ๆ เหมือนบางรีสอร์ทที่มักเห็นในภาพถ่ายของมัลดีฟ ส์ (พูดได้ว่ายังสวยไม่สุด)
  • พนักงานมีการ up sale เรื่อย ๆ (อาทิ premium cocktail, seafood BBQ, ทัวร์)  คนที่ขี้เกรงใจอาจรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจ
  • ห้องพักและสภาพแวดล้อมบนเกาะอาจะไม่ได้สวยหรูมากนัก  เมื่อเทียบกับ 5 ดาวหรือรีสอร์ทใหม่ ๆ
  • ช่วงเย็นพนักงานจะเล่นฟุตบอลกันที่สนามหลังบ้านพัก  ทำให้อาจมีเสียงรบกวนบ้างสำหรับคนที่ชอบความสงบ
  • ไม่มีบริการ Free WiFi สำหรับลูกค้าที่พักแบบ all inclusive น้อยกว่า 7 วัน (ค่าใช้จ่ายผมเขียนไว้ให้แล้วด้านล่าง)

Internet

เนื่องจากรีสอร์ท Chayaa Reef Ellaidhoo ให้บริการฟรี WiFi เฉพาะแขกที่พักแบบ all inclusive มากกว่า 7 วันขึ้นไป   ส่วนผมที่พักแค่ 3 คืนไม่ได้รับสิทธิ์นั้น T T และอัตราค่าใช้ internet ก็ค่อนข้างสูง (24 ชั่วโมง  6.72 USD, 72 ชั่วโมง 16.8 USD โดยคิดจากชั่วโมงที่ log in นะครับ)    ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าจะซื้อ Sim แบบที่มี Data plan ให้ด้วย  โดยซื้อ Sim ดังกล่าวที่สนามบินในราคา 30 USD + ค่า Sim 2 USD สามารถใช้ Data ได้ 1 GB และมีเครดิตค่าโทร 3 USD   หากต้องการปริมาณ Data มากขึ้น  สามารถเลือกอีก package ได้ที่ราคา 45 USD ได้ data 2.2 GB และเครดิตค่าโทร 6.5 USD ซึ่ง Sim นี้เป็นของบริษัท Dhiraagu office ตั้งอยู่ตรงข้ามกับที่ check in กระเป๋าของ Sea plane

อันที่จริงมีของอีกบริษัทคือ  Ooredoo อยู่ติดกันเลย  แต่ office ปิดผมก็เลยไม่ได้ข้อมูลค่าบริการครับ (เคยได้ข้อมูลจากทาง agent ว่าราคา Internet สำหรับ 2 GB แค่ 14 USD เท่านั้น  สงสัยคงเป็นของบริษัทนี้นั่นแหละ)  ยังไงถ้าเพื่อน ๆ ไปก็ลองเปรียบเทียบราคาดูก่อนซื้อนะครับ

สำหรับความเร็วในการใช้งาน Internet ของ Dhiraagu ที่รีสอร์ทก็ถือว่าลื่นไหลดีครับ ผมแชร์ใช้กับมือถือสองเครื่องและมี notebook อีก 2 ตัวพ่วงเป็นระยะก็ยังใช้งานได้ดี  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของอีกรายนึงจะเป็นอย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตาม package 1 GB หมดไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันที่ 3 ของการเข้าพัก  เพราะสนุกกับการ upload VDO ขึ้น facebook กับ line   สุดท้ายจึงต้องซื้อ internet ของทางรีสอร์ทที่สามารถใช้ได้แค่ครั้งละ 1 device ในราคา 6.72 USD จนได้  ซึ่งความเร็วในการใช้งานน้อยกว่าตอนใช้ Internet Sim ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ข้อมูลอุปกรณ์ถ่ายภาพ

ทริปนี้เป็นทริปประเดิมอุปกรณ์ชุดใหม่ที่กัดฟันซื้อกันเลยทีเดียว

Nikon D750 Lens Nikon 24-120 f4, Nikon 24-70 f2.8, Nikon 70-200 f4

สำหรับภาพใต้น้ำมากจา Go Pro 3+ ครับ

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบผมงานถ่ายภาพก็ติดตามได้ที่ facebook page 9Mot-Photography, instagram @9mot นะคร้าบ


3 Comments

  1. นายมด

    นายมด: ขอบคุณมากครับ จะระมัดระวังให้มากขึ้นสำหรับบทความต่อๆ ไปครับ

    ตัวหนังสือควรเป็นสีดำเท่านั้น ตัวหนังสือสีอ่อน ทำให้อ่านไม่ค่อยชัดเจนครับ

  2. สุรสิทธิ์

    ตัวหนังสือควรเป็นสีดำเท่านั้น ตัวหนังสือสีอ่อน ทำให้อ่านไม่ค่อยชัดเจนครับ

  3. Runjuanz

    ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆ สำหรับทุกท่าน และภาพสวยๆจาก Maldives