Select Page

Amazing Singapore – ใคร ๆ ก็ไปสิงคโปร์

Media Fam Trip สนับสนุนโดย SkyScanner

ใคร ๆ ก็ไปสิงคโปร์กัน  แต่ผมเองกลับไม่เคยได้มีโอกาสไปเยือนเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคนี้เลยสักครั้ง แม้ว่าการเดินทางสุดแสนจะสะดวกเพราะอยู่ใกล้ภูเก็ตบ้านของผมมากก็ตาม … ทำไมผมไม่คิดจะไปนะเหรอ ??? ก็คนที่กลับมาก็มักจะพูดแต่เรื่อง shopping หรือไม่ก็ Universal studio ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปกระตุกต่อมท่องเที่ยวของผมให้ทำงานได้เลย…

แต่แล้วโชคชะตาฟ้าลิขิตทำให้ผมต้องไปเยือนที่นี่แบบแทบจะไม่มีเวลาตั้งตัว  งานนี้จึงได้เวลาที่จะหาคำตอบซักที ว่าทำไมใคร ๆ ก็ไปสิงคโปร์ ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะ blog 9MOT.com ของผมได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จากการประกวด Bloscars Travel Awards 2014 ที่จัดโดย SkyScanner ซึ่งเป็น Search engine ตั๋วเครื่องบินระดับโลก และรางวัลสำหรับผมก็คือตั๋วเครื่องบินไปร่วมงานมอบรางวัลที่สิงคโปร์พร้อมที่พัก  แล้วจะให้ปฏิเสธได้อย่างไรจริงไหมครับ 🙂 การเดินทางไปสิงคโปร์ครั้งนี้ผมบินด้วย SILK air ซึ่งต้องยอมรับว่าที่นั่งกว้างขวางสะดวกสบายทีเดียว โดย Flight ของผมถึงสิงคโปร์บ่ายโมงตรง  และใช้เวลาในการผ่านระบบศุลกากรอย่างรวดเร็ว  สมกับเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว …

ผมใช้เวลาในการหา Ground transport desk เพื่อติดต่อ shuttle bus ไปโรงแรมอยู่สักพัก  เพราะจำผิดคิดว่าเครื่องลง terminal 1 เลยพิมพ์ map ของ airport มาผิดใบ … เจ้าหน้าที่สนามบินให้สติกเกอร์เล็ก ๆ ของโรงแรม Grand Mercure Roxy ที่พักของผม  แล้วชี้ทางไปยังชานชลารถบัสซึ่งอยู่ด้านนอกอาคาร  โดยบอกว่าให้ขึ้นรถที่ชานชลา 9 ที่ชานชาลา 9 มีรถจอดรออยู่แล้ว  แต่คนขับโบกมือให้สัญญาณว่าไม่ใช่รถมารับเอ็งทันทีที่เห็นผมกำลังจะตะเกียกตะกายขึ้นรถ … อ้าวแล้วไงล่ะเนี่ย  ชักใจไม่ดี แต่ดูเวลาแล้วยังเหลืออีกราว 15 นาทีจึงได้เวลานัด จึงเดินไปดูทุกชานชาลาจนแน่ใจว่าไม่มีรถคันไหนเป็นรถ shuttle ของโรงแรมแน่ ๆ … จนถึงเวลาบ่าย 2 โมงตามกำหนดรถออก  ผมก็ยังยืนรอด้วยใจหวั่น ๆ ว่าคงโดนรับน้องซะแล้ว  และกำลังคิดว่าจะไป taxi หรือนั่งรถไฟฟ้าดี   แต่แล้วรถ shuttle ของโรงแรมก็มาชะลออยู่โดยไม่ได้เข้ามาจอดที่ท่ารถ  ผมรีบเสนอหน้า แสยะยิ้มโดยทันที  เป็นอันว่าภารกิจแรกคือเดินทางไปยังโรงแรมนั้นผ่านไปได้ด้วยดี  แม้จะนอยด์เล็ก ๆ เพราะคาดหวังว่ารถจะตรงเวลาเหมือนรถไฟที่ swiss อิอิ รถ shuttle ของโรงแรม Grand Mercure Roxy  นำผมมุ่งหน้าสู่โรงแรม  ผ่านถนนที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน แถมร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอดเส้นทาง  นับเป็นความประทับใจแรกของผมที่มีต่อประเทศนี้  🙂 … การเดินทางใช้เวลาเพียง 25 นาทีก็ถึงโรงแรม  ซึ่งนับว่าสะดวกและประหยัดมาก ๆ เลยทีเดียวเพราะบริการนี้ฟรีสำหรับแขกของโรงแรมทุกคน

DSC_5961

ที่นั่งของรถ Shuttle bus นั่งสบายทีเดียว

DSC_5965

บรรยากาศเส้นทางจากสนามบินไปยังโรงแรมที่ดูร่มรื่นสะอาดตา สร้าง first pression ให้กับสิงคโปร์ได้มากจริง ๆ

โรงแรม Grand Mercure Roxy ตั้งอยู่ระหว่างย่านศูนย์กลางธุรกิจกับสนามบิน   มีรถเมล์ชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญใจกลางเมืองไม่ว่าจะเป็น Marina bay, China town, Orchard ส่วนสถานี MRT ก็สามารถนั่งรถเมล์ป็นช่วงสั้น ๆ ไปต่อได้ หลังจาก check in เรียบร้อยแล้วผมก็นำสัมภาระไปเก็บบนห้อง  แล้วก็ได้เวลาออกสำรวจสิงคโปร์โดยมีจุดหมายแรกของวันนี้คือ China Town …  ผมข้ามถนนเพื่อไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโรงแรม  แต่ก็แวะซื้อ EZlink บัตรอเนกประสงค์ที่ 7Eleven ก่อนเพื่อใช้ชำระค่ารถเมล์และ MRT ระหว่างที่อยู่สิงคโปร์ (อันที่จริงถ้าซื้อจากสถานีรถไฟฟ้า บัตรนี้จะขายที่ 15 SGD โดยมีมูลค่าที่ใช้ได้ 10 SGD และเป็นค่าบัตรแบบคืนไม่ได้ 5 SGD  แต่ถ้าซื้อที่ 7Eleven มีขายแบบ 10 SGD และมีมูลค่าในบัตร 5 SGD หากเดินทางเยอะกว่ามูลค่านี้ต้องเติมเงิน   โดยผมก็เติมที่ 7Eleven นั่นแหละ 10 SGD โดยมีค่าเติม 0.5 SGD  ซึ่งคิดว่าเพียงพอสำหรับ 3 วันในสิงคโปร์ เมื่อได้บัตรแล้วก็รอรถเมล์ที่สถานี  ซึ่งข้อดีก็คือมีป้ายบอกเวลาโดยประมาณที่รถสายที่รอจะมาถึง   พอรถสายที่ต้องการมาผมก็ปล่อยไก่ตัวแรกในสิงคโปร์โดยการขึ้นประตูกลางรถ  เพราะคิดว่าเหมือนบ้านเรา  แต่ที่นี่เขาขึ้นกันประตูหน้า อิอิ  นี่ขนาดอ่านข้อมูลมาบ้างแล้วนะว่าต้องไม่ลืม scan บัตรทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ไม่เห็นมีบอกนี่นาว่าต้องขึ้นประตูหน้าเท่านั้น 5555 … รถเมล์ของที่นี่มีทั้งแบบ 1 ชั้นและ 2 ชั้น  ความสะดวกภายในก็ประมาณรถไฟฟ้า MRT บ้านเรานี่แหละครับ  … ผมนั่งชมวิวสองข้างทางของเมืองสิงคโปร์ไปก็อดคิดไม่ได้ว่า  ตึกรามบ้านช่องเก่า ๆ ของเขานี่เหมือนภูเก็ตบ้านผมมาก   หากแต่ที่นี่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี  ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม  .. ก่อนมาผมคิดว่าที่นี่คงคล้ายฮ่องกง แต่ที่ไหนได้  ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่ามาก  โดยเฉพาะที่ China town นี่ทำให้ผมเกือบลงรถเมล์แทบไม่ทันเพราะไม่คิดว่าจะดูสะอาด สงบ และดูไม่จอแจแม้แต่น้อย  ทีแรกจินตนาการไว้ว่าคงมีผู้คนคับคั่ง ร้านค้ายุบยับ ที่ไหนได้ ช่างเป็น China town ที่ดูผู้ดีเสียจริง ๆ

DSC_6009

ดูบรรยากาศ China town ของสิงคโปร์สิครับ เป็นระเบียบเรียบร้อยจริง ๆ ทำเอาผมลงรถแทบไม่ทันเพราะคิดว่ายังไม่ถึง

มุมนี้ได้อารมณ์แบบจีนจริง ๆ

มุมนี้ได้อารมณ์แบบจีนจริง ๆ

DSC_6146

อาคารสีสันแบบนี้ ช่างภาพถูกใจ

จากป้ายรถเมล์เดินไปไม่ไกลก็ถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว  หนึ่งในศาสนสถานอันเป็นที่เลื่อมใสของชาวสิงคโปร์  จุดเด่นของที่นี่นอกจากอาคารแบบจีนสีแดงขนาดใหญ่แล้ว  ภายในประดับด้วยสีทองอร่าม  ผนังแต่ละด้านประดับด้วยพระพุทธรูปขนาดเล็กจำนวนมาก  ตลอดเวลาที่ผมถ่ายภาพอยู่ที่นั่นก็เห็นชาวสิงคโปร์เดินทางมาสักการะไม่ขาดสาย  ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่นั่นก็ให้ความสำคัญกับที่พึ่งทางใจไม่ต่างกับคนไทย

DSC_6154

วัดพระเขี้ยวแก้ว ตั้งตระหง่านบนย่าน China Town ของสิงคโปร์

DSC_6148

เปรียบเทียบกับอาคารสีสดใสด้านหลัง

DSC_6142

ซอยติด ๆ กันกับวัดพระเขี้ยวแก้วมีของที่ระลึกขายมากมาย

จากวัดพระเขี้ยวแก้วผมเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยเพื่อชมวัดแขก  ซึ่งเห็นปั๊ปก็รู้เลยว่าใช่แน่ เพราะการออกแบบซุ้มทางเข้าก็ไม่ต่างกับวัดแขกบ้านเรา คือมีรูปปั้นต่าง ๆ เทพเจ้าและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู  เสียดายที่ผมมีเวลาไม่มากนักจึงได้ถ่ายภาพเฉพาะทางเข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  หากจะถ่ายภาพด้านในต้องเสียค่าธรรมเนียมเล็กซึ่งผมคิดว่าไม่คุ้มถ้ามีเวลาไม่นาน ภาพบรรยากาศด้านหน้าวัดแขก

หลังจากเก็บภาพบรรยากาศของบ้านเรือนแถบ China town แล้วก็ได้เวลาตามหาร้านข้าวมันไก่  Tian Tian ชื่อดังของสิงคโปร์  ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์อาหาร Maxwell เยื้อง ๆ กับวัดพระเขี้ยวแก้วนั่นเอง   เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็มองหาร้านที่มีคนต่อคิวเยอะ ๆ นั่นแหละใช่เลย อิอิ … ตอนผมไปก็ต้องต่อคิวราว 15 นาทีถึงจะได้ทาน  สำหรับข้าวมันไก่นั้นจานละ 3.6 SGD รสชาติอร่อยดีครับ  เนื้อไก่นุ่มไม่แห้งเกินไป และให้มาเยอะจนเกือบทานไม่หมด  ทั้งนี้จะเสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุบและน้ำจิ้ม 2 อย่าง  อร่อยไปคนละแบบ  … แต่หากจะว่ากันตามจริงก็ไม่ได้อร่อยถึงขั้นลืมโลกนะครับ  ดังนั้นอย่าตั้งความหวังไว้สูง ไม่งั้นอาจจะพาลหงุดหงิดได้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าข้าวมันไก่ประตูน้ำบ้านเราก็อร่อยไม่แพ้กัน อิอิ

อิ่มหมีพีมันแล้วผมก็เดินผ่านซอยเล็ก ๆ ย่าน China town เพื่อไปขึ้นรถบัสสายเดียวกันบนถนนอีกเส้นที่ขนานกับเส้นขามา  ระหว่างทางผ่านร้านติ่มซำ Takpo ที่จดมาในโพยด้วย  เสียดายที่ไม่เหลือพื้นที่ในท้องแล้ว  แถมมีนัดที่โรงแรมด้วยก็เลยต้องจำใจเดินผ่าน ไปแบบเสียมิได้ T T ขากลับเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงาน  รถจึงติดมากกว่าตอนขามา  แต่ก็ถือว่าดีกว่าบ้านเรามากเพราะยังไปได้เรื่อย ๆ ไม่ติดหนึบเป็น 10 นาที  ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าการจัดการด้านขนส่งมวลชนของเขานั้นดีกว่าบ้านเราหลายขุม ระหว่างทางขากลับก็ยังผ่านอาคารสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์, สุเหร่า, ตึกเก่า, สวน และอาคารใหม่ ๆ ที่ออกแบบได้แปลกตามากมาย  เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ดูกลมกลืนและสวยงามทีเดียว

การผสมผสานระหว่างสีเขียวของต้นไม้, ตึกเก่าและอาคารใหม่สีสันสดใส

การผสมผสานระหว่างสีเขียวของต้นไม้, ตึกเก่าและอาคารใหม่สีสันสดใส

ผมกลับมาถึงโรงแรมช้าไปกว่าเวลานัดเกือบชั่วโมง เพราะมัวแต่เพลินกับข้าวมันไก่กับการเที่ยวชม China town … แต่โชคดีที่ผู้บริหารของทางโรงแรมยังคงจับกลุ่มพูดคุยกับเหล่า blogger ประเทศต่าง ๆ ที่ห้องอาหาร   ผมจึงได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่จัดโดย Grand Mercure Roxy ด้วย   … เดิมทีผมคิดว่าเป็นการเลี้ยง cocktail เท่านั้น แต่ที่ไหนได้ทาง Grand Mercure จัดมื้ออาหารค่ำแบบเต็มที่  เสียดายที่ผมอิ่มมาก่อนแล้ว  ดังนั้นจึงได้ลิ้มลองเพียงสลัดกับซุปเห็ดเท่านั้น  ซึ่งนอกจากหน้าตาจะดูดีมีสกุลแล้ว รสชาติยังเยี่ยมยอดอีกด้วย  โดยเฉพาะซุปเห็ด … คิดไปก็เสียดาย  น่าจะเอาข้าวมันไก่ไว้มื้ออื่น อิอิ Welcome dinner ของทางโรงแรม

เกี่ยวกับโรงแรม Grand Mercure Roxy โรงแรม Grand Mercure Roxy อยู่ห่างจากสนามบิน Changi ราว 15 นาที โดยลูกค้าของโรงแรมสามารถเดินทางไป-กลับสนามบินได้โดย Shuttle bus ของโรงแรม ซึ่งบริการฟรีและออกทุก ๆ 30-60 นาที (แล้วแต่ Terminal) นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ของสิงคโปร์ด้วย Shuttle bus ได้ด้วย หรือจะนั่งรถเมล์ซึ่งมีป้ายอยู่หน้าโรงแรมได้เช่นกัน สำหรับห้องพักที่ผมพักนั้นมีขนาดกว้างขวางกำลังดีคือ 32 sq. m. โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น LCD TV, ตู้เย็น, เตียงขนาดใหญ่, อ่างอาบน้ำ, safety box, ที่รองรีดผ้าและเตารีด และที่ผมชอบเป็นพิเศษคือมีช็อคโกเลตอร่อย ๆ และชาเขียววางไว้ให้ในวันที่ check in … นอกจากนี้ยังมี name tag หนังสีดำ สำหรับติดกระเป๋าเดินทางมอบให้เป็นของขวัญด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าจะให้กับแขกทุกคนหรือเปล่า อิอิ …. อ้อ แน่นอนว่าที่นี่มี Free WIFI ให้ใช้ได้ฟรีทั่วโรงแรม พร้อมคูปองสำหรับ soft drink ที่ห้องอาหารของโรงแรมอีกด้วย
Lobby ดูโออ่า modern ในแบบฉบับ City hotel

Lobby ดูโออ่า modern ในแบบฉบับ City hotel

ห้องพักใหม่เอี่ยม โทนสีสบายตา

ห้องพักใหม่เอี่ยม โทนสีสบายตา

ในขณะที่เพื่อน ๆ blogger ประเทศอื่นเข้าห้องพักเพื่อเก็บแรงไว้วันรุ่งขึ้น  ผมปลีกตัวเดินทางเข้าเมืองอีกครั้ง  โดยคราวนี้มีจุดหมายที่ Marina Bay เพื่อไปเก็บภาพแสงไฟยามราตรีของสิงคโปร์  … จากโรงแรมใช้รถบัสสาย 36 มาลงที่ Esplanade หรือที่คนไทยเราคุ้นเคยกันในชื่อตึกทุเรียน   จากนั้นก็เดินทะลุมายังลานแสดงคอนเสิร์ตซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นโรงแรม Marina Bay Sands   ได้อย่างชัดเจน   ซึ่งรอไม่ถึง 10 นาทีการแสดง Wonderful show รอบสองของวันก็เริ่มขึ้นพอดี  ผมจึงได้โอกาสเก็บภาพแสงสวย ๆ ของการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ  แต่การชมจากจุดนี้จะไม่สามารถได้ยินเสียงบรรยาย  รวมถึงไม่มีโอกาสได้เห็นการฉายภาพบนน้ำพุซึ่งต้องชมจากฝั่งเดียวเดียวกับตัวโรงแรม

สีสันแห่งสิงคโปร์ Marina Bay Sands

สีสันแห่งสิงคโปร์ Marina Bay Sands

หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงแสงสีแล้ว ผมเดินเก็บภาพริมอ่าว Marina bay อีกพักใหญ่  ซึ่งในช่วงนี้มีการแสดง lighting จากวัสดุเหลือใช้  ดูสวยงามดีทีเดียว  เรียกได้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนเต็มที่เพื่อให้ย่านนี้เป็นแหล่งของการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

งานแสดงศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ที่ริมอ่าว

งานแสดงศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ที่ริมอ่าว

อีกหนึ่งงานศิลป์จากของเหลือใช้ที่ดูน่าทึ่ง

อีกหนึ่งงานศิลป์จากของเหลือใช้ที่ดูน่าทึ่ง

เกือบเที่ยงคืนแล้วผมจึงตัดสินใจกลับโรงแรม  แต่ก็ดันมาเจอปัญหาว่า  ณ ป้ายที่ผมลงนั้นเป็นถนน one way และหาไม่เจอว่าขากลับจะต้องไปขึ้นรถเมล์ที่ไหน  หลังจากการเดินเสาะหาป้ายรถเมล์และสอบถามคนท้องถิ่นที่เดินไปเดินมาแถบนั้น  ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยว่าจะขึ้นรถสาย 36 กลับไปยังโรงแรมได้ยังไง T T  … ในที่สุดก็ตัดสินใจขึ้นรถ taxi ตามคำแนะนำของสาว ๆ ชาวสิงคโปร์กลุ่มหนึ่งที่หาข้อมูลให้ว่านั่ง taxi กลับน่าจะดีที่สุดโดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 9 SGD .. คิดดูแล้วก็ ok ดีกว่าเดินหาป้ายรถกันทั้งคืนแบบนี้ รถ Taxi ใช้เวลาราว 15 นาทีก็ถึงโรงแรม  ซึ่ง meter นั้นบอกราคาที่ 8 SGD กว่า ๆ   ผมแอบดีใจที่ได้ราคาถูกกว่าที่ได้ข้อมูลมา  แต่ยังไม่ทันลงรถ  เงินที่ meter ก็วิ่งพรวดขึ้นไป 13 SGD กว่า … เฮ้ย ทำไมเป็นแบบนี้หว่า  แต่ทำไงได้นั่งมาแล้วและก็เหนื่อยเต็มที  เลยจ่ายเงินแต่โดยดี  ทั้งนี้มาทราบภายหลังว่าเป็น surcharge สำหรับการขึ้นรถที่ business zone  3 SGD และ surcharge ข่วงเวลาพิเศษ (ดึก ๆ) อีก 25% … ดังนั้นจะใช้บริการ taxi ก็ต้องทำใจเรื่องค่าโดยสารหน่อยนะครับ คืนแรกในสิงคโปร์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  รู้สึกว่ายังหลับไปเต็มอิ่มก็เช้าซะแล้ว  L … มื้อเช้าวันนี้ผมใช้บริการที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งรูปแบบก็เป็น buffet เหมือน City hotel ทั่วไป  มีอาหารหลากหลายพอสมควร ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่ง modern ที่ให้อารมณ์แบบจีน ๆ หน่อย  แต่ที่ชอบก็คือมีกาแฟสดให้นี่แหละ อิอิ

บรรยากาศมื้อเช้าของห้องอาหารที่ Grand Mercure Roxy

บรรยากาศมื้อเช้าของห้องอาหารที่ Grand Mercure Roxy

ผมลงมาถึง lobby ก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย (แก้ตัวที่เมื่อวานไป late เกือบชั่วโมง คริคริ) … ซึ่งทีมงานจาก SkyScanner ที่วันนี้จะเป็นเจ้าภาพพาเหล่า blogger ชมเมืองสิงคโปร์มารอเราอยู่แล้ว  … ผมกับ blogger อีก 3 คน  เป็นชาวอินโด ฯ หนึ่งคน, สิงคโปร์หนึ่งคนและออสเตรเลียอีกคน  นั่งรถตู้ไปพบกับ blogger ชุดอื่น ๆ ณ ที่นัดหมาย Singapore flyer ชิงช้าสวรรค์อันเลื่องชื่อของสิงคโปร์  … ทั้งนี้เราไม่ได้ขึ้นกระเช้ากันนะครับ  แต่เรามาขึ้นรถบัสชมเมืองกันที่นี่ ถึงแล้ว …​ Singapore flyer

สำหรับ City tour ในวันนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Duck & Hippo tour  โดยเราได้ชมเมืองแบบนั่งรถบัส 2 ชั้นเปิดประทุน   ชมวิวกันแบบเต็มตาเลยทีเดียว

รถบัสเปิดประทุน หรือที่เรียกว่า Hop on Hop off BUS ที่นำเราชมเมืองกันวันนี้

รถบัสเปิดประทุน หรือที่เรียกว่า Hop on Hop off BUS ที่นำเราชมเมืองกันวันนี้

ดูกันชัด ๆ อีกมุม

ดูกันชัด ๆ อีกมุม

เมื่อเหล่า blogger มากันโดยพร้อมเพรียงแล้ว  ก็ทยอยกันขึ้นรถซึ่งมีองชั้น  ชั้นล่างเป็นแอร์  ส่วนชั้นบนเป็นแอร์ในตอนหน้าและด้านหลังเปิดประทุน  ซึ่งแน่นอนว่าคนชอบถ่ายภาพก็ต้องจับจองที่นั่งโซนนี้เพื่อให้ถ่ายภาพได้สะดวกที่สุดโดยไม่มีอะไรมาบดบัง  แต่ก็ต้องแลกกับการต้องนั่งรับแดดแบบเต็ม ๆ อิอิ …  เส้นทางของบัสมีด้วยกัน 3 สาย  ผ่านจุดที่สำคัญต่าง ๆ กันไป  ในวันนี้รถของเราใช้เส้นทางสายสีเขียว  รถเริ่มออกเดินทางผ่านถนนสายเดียวกับที่ผมเดินทางมายัง Marina Bay เมื่อคืน   จากนั้นก็ค่อย ๆ แล่นผ่านย่านสำคัญต่าง ๆ อาทิ Merlion, China Town, Clarke Quay, Botanic Garden, ถนน Orchard, และวนกลับมาที่เดิมที่ Singapore flyer อีกครั้ง

วิวจากชั้น 2 แบบเปิดประทุนของบัสชมเมือง

วิวจากชั้น 2 แบบเปิดประทุนของบัสชมเมือง

เราลงจากรถที่หน้า Esplanades ที่เดียวกับที่ผมลงรถเมล์เมื่อคืนเป๊ะ  จากนั้นก็เดินต่อไปถ่ายภาพตึกสวย ๆ ของสิงคโปร์คู่กับเหล่า Mascot จากโรงแรมในเครือ IBIS ในฐานะผู้สนับสนุนที่พักสำหรับ blogger ในครั้งนี้  ทราบมาว่าหนึ่งในโรงแรม IBIS ของที่นี่ให้ลูกค้ายืมใช้มือถือพร้อม SIM card สำหรับโทรในประเทศและใช้ internet ด้วย  เรียกได้ว่าสุดยอดเอาใจลูกค้าขา social media เลยจริง ๆ ซึ่งทั้งนี้ไม่ได้แจกเฉพาะคณะ blogger นะครับแต่แจกแขกทุกห้องเลยทีเดียว  (น่าอิจฉา)

เหล่า mascot จาก ibis

เหล่า mascot จาก ibis

จากท่าน้ำฝั่งตรงข้าม Marina Bay Sands เราเดินข้ามสะพานเพื่อถ่ายภาพเจ้า Merlion สัญลักษณ์ดั้งเดิมของประเทศสิงคโปร์ … ที่นี่เป็นอีกจุดที่ผมหมายตาไว้ว่าจะมาถ่ายภาพแสงไฟยามค่ำ  เสียดายที่เมื่อคืนมองไม่เห็นเพราะโดน container ของงานก่อสร้างสะพานใหม่สำหรับคนเดินบดบังอยู่  หากมีเวลา  คืนนี้คงต้องมาถ่ายภาพมุมนี้ให้ได้ เนื่องจากเจ้า Merlion เพิ่งจะบำรุงรักษาเสร็จ จึงไม่ยอมพ่นน้ำเหมือนกับภาพที่เคยเห็นบ่อย ๆ แต่ก็นับว่ายังโชคดีเพราะเพื่อนผมบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้ายังโดนคลุมผ้าใบไว้อยู่เลย อิอิ …

ถ่ายภาพที่ระลึกที่หน้า Merlion

ถ่ายภาพที่ระลึกที่หน้า Merlion

ทิวทัศน์บริเวณ Marina Bay

เมื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันแล้วก็ได้เวลาลงเรือชมเมืองกัน … เรือออกจากท่าเรือบริเวณ Merlion และแล่นไปยังท่า Clarke Quay  โดยผ่านสถานที่น่าสนใจหลาย ๆ แห่ง ซึ่งมีการบรรยายให้ฟังเป็นระยะ  แต่ผมไม่ค่อยมีสมาธิได้ฟังนักเพราะมัวแต่เก็บภาพของตึกรามบ้านช่องริมน้ำเสียมากกว่า … วิวจากบนเรือ

ใช้เวลาเพียงแค่สั้น ๆ เราก็มาถึงท่าเรือปลายทาง  ซึ่งจุดนี้ดูเหมือนจะเป็นพลาซ่าที่ออกแบบตึกสไตล์โคโลเนียน  มีร้านค้าร้านอาหารเรียงรายอยู่ริมน้ำ  เหมาะกับคนชอบถ่ายภาพเพราะสีสันสวยงามดี …  ตึกสวย ๆ ที่ Clarke Quay

จากที่นี่เราเดินไปเล็กน้อยเพื่อทานอาหารเที่ยงแบบ Buffet ที่ Novotel Clarke Quay ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรงแรมในเครือ Accor ที่สนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ อาหาร Buffet ของที่นี่มีหลากหลายทั้ง อาหารพื้นเมือง, อาหารญี่ปุ่น และอาหารแบบตะวันตก  … ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ผมเห็นส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่ใช้เป็นสถานที่เลี้ยงรับรองและพูดคุยงาน  โดยมีโต๊ะพิเศษจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน นับเป็นโอกาสดีที่ได้ลองอาหารหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะอาหารพื้นเมือง  แต่จากที่สอบถามจากเพื่อน blogger ชาวสิงคโปร์เขาแนะนำว่าถ้าจะทานรสชาติดั้งเดิมคงต้องไปร้านริมทางจะดีกว่า ผมจึงได้แค่เพียงลองอย่างละนิดหน่อยให้พอรู้รส ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับอาหารที่ภูเก็ตบ้านเผมอยู่มาก  อาจเป็นเพราะมีวัฒนธรรมของจีนและมลายูผสมผสานอยู่เหมือนกันนั่นเอง

DSC_6626

Buffet มื้อเที่ยงที่ Novotel

หลังจากชิม Tapas หลากหลายชนิดแล้ว ก็ได้เวลาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับเหล่า blogger และทีมงานจาก SkyScanner และ Accor

โปรแกรมชมเมืองของเราจบเพียงเท่านี้  เราถูกปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่ช่วงบ่ายจะไปเยี่ยมชม office ของ SkyScanner ซึ่งได้มีการมอบรางวัลให้กับผู้ชนะของแต่ละประเทศ  ทั้งนี้ผมเองก็ได้รับมอบรางวัลด้วยแต่รับแทนให้กับที่หนึ่งของประเทศไทย อิอิ … บรรยากาศที่ SkyScanner office ช่างเป็นบรรยากาศการทำงานที่ดูเพลิดเพลินจริง ๆ

หลังจากพิธีมอบรางวัล  ก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างทีมงานกับ blogger ที่ร้านอาหารในบรรยากาศแบบเป็นกันเอง  นับเป็นอีกช่วงเวลาที่ดีที่ได้มีโอกาสทำความรู้จักและพูดคุยกับเพื่อนๆ blogger จากไทยและต่างชาติ  ได้มีโอกาสเห็นวัฒนธรรมการทำงานของชาวสิงคโปร์ที่มีหลากหลายเชื้อชาติ  ทำงานหนักแต่ก็เฮฮาเต็มที่เมื่อถึงเวลาพักผ่อน  ผมเองก็อยากให้คนไทยเรามีวัฒนธรรมในการทำงานแบบนี้เหมือนกัน เสร็จจากงานเลี้ยงผมกับเพื่อน blogger ชาวไทยอีก 2 ท่านตกลงใจกันว่าจะไปถ่ายภาพกันที่บริเวณ Marina Bay อีกครั้งจากมุมที่ Merlion แล้วค่อยเดินไปต่อจนถึงสะพาน Helix …   เรานั่ง Taxi กันไปเพราะน่าจะคุ้มกว่าการเดินไปหารถเมล์หรือนั่ง MRT  ซึ่งกว่าจะพูดคุยกับคนขับ Taxi รู้เรื่องว่าเราจะไป Merlion (เราอ่านว่า เมอร์-ไล-อ้อน)  ก็ใช้ความพยายามอยู่ตั้งนานจนสุดท้ายต้องเอาแผนที่มาชี้ให้ดู   ก่อนจะลงรถก็เลยถามคนขับ Taxi ว่า ไอ้เจ้าสิงโตหางปลาตัวนี้ชาวสิงคโปร์ออกเสียงว่าอะไร  เขาบอกว่า เมอร์-เล-อ้อน … เออ.. ที่จริงมันก็คล้ายกันนี่น่า  หรือเราออกเสียงไม่ดีหว่า 555 มาถึงแล้วก็ไม่รอช้ายึดพื้นที่ถ่ายภาพกันอย่างเมามัน  ผมเองก็ได้มุมใหม่เพิ่มเติมจากคืนก่อนพอสมควร  และเมื่อเห็นว่าเริ่มดึกแล้วจึงเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง  ลัดเลาะไปตามริมฝั่งของ Marina bay ซึ่งผมเองก็มาแล้วในคืนก่อน  มุ่งหน้าสู่สะพาน Helix อีกหนึ่ง check point ที่ต้องมาถ่ายภาพ  เพราะจากมุมนี้  จะเห็นสีสันของสะพานที่ต่อเนื่องไปยังโรงแรม Marina Bay Sands สวยงามมาก

DSC_6686

สีสันตระการตาที่ Marina bay

เริ่งเดินข้ามสะพานมายังฝั่ง Esplanades

เริ่งเดินข้ามสะพานมายังฝั่ง Esplanades

บรรยากาศบริเวณสะพาน Helix

บรรยากาศบริเวณสะพาน Helix

หลังจากเก็บภาพกันจนดึก ก็ได้เวลาโบกมือลาเพื่อน ๆ กลับไปยังที่พักของแต่ละคน ผมตัดสินใจนั่ง taxi เพราะไม่อยากเสียเวลาหาป้ายรถเหมือนคืนก่อน  ซึ่งในคืนนี้นี่เองที่จับตาดูที่ meter อย่างใกล้ชิด  จนได้รู้ว่า surcharge นั้นมีค่าอะไรบ้าง  อย่างน้อยก็สบายใจว่าเขาไม่ได้กด charge แบบมั่ว ๆ แต่มีอัตราที่กำหนดไว้แล้ว คืนที่ 2 ผมหลับสบายกว่าคืนแรกมาก  อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียจากความสมบุกสมบันตลอด 2 วัน  แต่จะให้หยุดเพียงแค่นี้คงไม่ใช่ 9MOT … โปรแกรมวันนี้จึงถูกอัดแน่นไปจนถึงเย็นซึ่งเป็นเวลาขึ้นเครื่องเลยทีเดียว … ทั้งนี้หลังจากทานอาหารเช้า ผมก็จอง Shuttle bus เพื่อไปยังสนามบินรอบ 16:30 ซึ่งจะไปส่งยัง terminal 2 (ใจจริงอยากไปรอบ 17:00 น. แต่รถไม่จอดที่ terminal 2 ก็เลยต้องยอมไปเร็วขึ้น) วันนี้ผมมีโปรแกรมไปเยือนแหล่ง shopping ย่านถนน orchard และไปชม Gardens by the bay ซึ่งโชคดีที่ทางโรงแรมมีรถ Shuttle ไปที่ถนน Orchard ด้วย  ผมจึงลงชื่อจองรอบแรกไว้ซึ่งออก 10:00 น. … เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือผมจึงเดินข้ามไปยัง shopping mall ฝั่งตรงข้ามโรงแรม เพื่อไปลองชิม Kaya Toast ขนมปังสังขยาสูตรของสิงคโปร์  ซึ่งจากข้อมูลที่หามา สาขาของร้านดัง  Ya Kun Kaya Toast ก็เปิดอยู่ที่นี่นั่นเอง …

บรรยากาศร้าน Ya Kun Kaya Toast

บรรยากาศร้าน Ya Kun Kaya Toast

DSC_6834

หน้าตาของเจ้า Kata toast

ที่ร้าน Ya Kun สาขานี้ถูกปรับแต่งให้ดู modern เข้ากับ life style ยุคใหม่  แต่สังเกตคนในร้านก็มีทุกรุ่น แสดง Kaya Toast นี่เป็นอาหารของทุกผู้ทุกวัยในสิงคโปร์จริง ๆ … ทั้งนี้ผมลองสั่ง Kaya Toast แบบที่เป็นขนมปังอบไอน้ำ ทานคู่กับชาร้อน … ระหว่างรอก็แอบดูกระบวนการชงชา  ดูคล่องแคล่มกระฉับกระเฉงดี  มีการใช้น้ำร้อนราดตรงปากแก้วก่อนเสิร์ฟให้กับเรานับเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจดี … สำหรับตัว Kaya Toast จะนำมาเสิร์ฟให้ภายหลังที่โต๊ะ  ทั้งนี้ลูกค้าหลาย ๆ คนจะสั่งเป็นชุดคือมีไข่ลวกมาให้ด้วยดูน่าทานดีเหมือนกัน  แต่ผมอิ่มอาหารเช้าแล้วก็เลยอยากลิ้มลองแค่ขนมปัง … Kaya Toast ที่นี่เสิร์ฟแบบเป็นเข่งคล้ายติ่มซำบ้านเรา  ด้านในมีขนมปังใส้สังขยามาให้ 4 ชิ้นเล็ก ๆ  รสชาติอร่อยถูกปากดีครับ  … สิ่งที่แตกต่างจากบ้านเราคือเขาจะใส่เนยแข็งชิ้นหนา ๆ ด้วยทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป  นับเป็นอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนสิงคโปร์ครับ อิ่มอร่อยแล้วก็เดินย้อนกลับมาขึ้นรถที่โรงแรม  ซึ่งรส Shuttle ได้นำผู้โดยสารบางส่วนไปแวะส่งที่โรงแรม Marina Bay Sands ก่อน จากนั้นจึงค่อยส่งเราที่สุดถนน Orchard ย่านแห่งการ shopping ของสิงคโปร์ … ผมเดินเข้า ๆ ออก ๆ ห้างใหญ่หลาย ๆ ห้าง  แต่ก็ไม่ได้จับจ่ายอะไร  เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนมที่ไม่ได้มีโปรโมชั่นอะไรพิเศษในช่วงนี้  ผมเดินชมเมืองไปถ่ายภาพไปจนเกือบสุดสายถนน Orchard ก็ตัดสินใจขึ้น MRT ไปที่ ANCHOR POINT ซึ่งเป็น Outlet ของสินค้าแบรนด์ Charles & Keith อันโด่งดังของสิงคโปร์  การเดินทางก็ไม่ยากเย็นอะไร เพียงนั่ง MRT มาลงที่สถานี Redhill จากนั้นข้ามถนนไปขึ้นรถบัสฝั่งตรงข้าม  แล้วนั่งเมล์สาย 33 ไปอีก 4-5ป้ายเพื่อลงที่ IKEA   ทั้งนี้ป้ายรถเมล์จะถึงก่อน IKEA เล็กน้อยหากไม่ระวังอาจเลยได้  ยังไงก็ให้หาที่นั่งตอนหน้าของรถเมล์นะครับจะได้เห็นชัด ๆ … เมื่อลงแล้วอาคาร Anchor Point จะอยู่ฝั่งตรงข้าม IKEA เลย ที่ Anchor Point เป็นอาคารดูเก่า ๆ  แตกต่างจากที่คิดพอสมควร  ร้านค้าด้านในก็เหงา ๆ ไม่ครึกครื้นเท่าไหร่  มีสินค้า Brand ต่าง ๆ อาทิ Fox, Giodano, Timberland  แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็น Charles & Keith  ซึ่งระหว่างที่ผมอยู่ที่ร้านก็มีคนไทยเข้าออกไม่ขาดสาย  แต่ละคนก็ช็อปกระเป๋าและรองเท้าคนละหลายใบ … อันที่จริงสินค้าบางอย่างก็เป็นสินค้าราคาปกติ  แต่เนื่องด้วยตัวสินค้าเองดูดีและราคาไม่แพง  อาทิกระเป๋าของบรรดาสาว ๆ แค่พันนิด ๆ ก็ได้ใบสวย ๆ แล้ว  ก็เลยเป็นสวรรค์สำหรับสาว ๆ ขาช็อปเลยทีเดียว ออกจาก Charles & Keith ก็นั่ง MRT กลับไปย่าน Orchard เพื่อต่อ MRT อีกสายไปยัง Gardens by the bay ..  สถานีรถไฟโซนนี้จะมี Circle line ที่วิ่งให้บริการในย่าน Marina Bay เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างกว้างใหญ่  กว่าจะถึง Gardens by the bay ได้ก็ต้องต่อรถกับเดินอีกพอสมควร  …

DSC_6863

ตามไปดู Gardens by the bay กับตึก Marina bay sands แบบชัด ๆ

ทั้งนี้ผมมีเวลาค่อนข้างจำกัดเพราะใช้เวลาที่ outlet นานไปหน่อย  จึงต้องรีบทำเวลาถ่ายภาพเฉพาะโซนด้านนอกเท่านั้น ขากลับผมนั่ง MRT กลับไปย่าน Orchard เพื่อรอรถเมล์กลับไปยังโรงแรม  แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  เพราะป้ายรถเมล์ตรงหน้าสถานีรถไฟบอกว่ารถเมล์สายที่รอไม่ได้จอดที่ป้ายนี้ … ผมคิดในใจ ไหงเป็นงี้ไปได้ ก็ดูแล้วว่ารถสายนี้ต้องผ่านถนนเส้นนี้แน่ ๆ … ระหว่างตัดสินใจว่าจะใช้ MRT แล้วไปต่อรถเมล์สายอื่นดีหรือไม่  ก็เอะใจลองเดินไปป้ายรถเมล์ถัดไปดู  ปรากฏว่าที่ป้ายนั้นสายที่ต้องการจอด  จึงได้ข้อสรุปว่าในบางย่าน (น่าจะเป็นย่านที่รถหนาแน่นและมีรถเมล์เยอะ)  รถอาจจะจอดป้ายเว้นป้ายเพื่อไม่ให้ปริมาณรถที่ป้ายมีมากเกินไป (อันนี้เดาเอาเองนะ) …   แต่ทว่าเวลาโดยประมาณที่ป้ายนั้นบอกไว้ว่าอีก 21 นาทีรถคันถัดไปจึงจะมา  ผมเครียดอีกรอบเพราะกำลังจะได้เวลานัดรถ Shuttle bus แล้ว  แต่ลองคำนวณดูหากนั่ง MRT หรือจะ Taxi ก็คงไม่ทันอยู่ดี จึงตัดสินใจว่าจะรถตรงป้ายนี่แหละ … ยังไม่ทันถึง 3 นาทีรถเมล์สายที่รอก็มาถึง  จึงได้ข้อสรุปอีกอย่างว่าเวลาบนป้ายรถเมล์ที่สิงคโปร์นั้นอาจจะไม่แม่นยำเท่าที่ควร  ไม่เหมือนประเทศแถบยุโรปหรือญี่ปุ่น แม้รถเมล์จะมาเร็วกว่าที่คาด  แต่กว่าจะถึงโรงแรมก็เลยเวลานัดไป 15 นาทีแล้ว  ซึ่ง shuttle bus ไปยัง terminal 2 รอบถัดไปต้องรออีก 1 ชั่วโมง ผมจึงตัดสินใจขึ้น shuttle รอบที่ไปยัง terminal 1 แทน  ซึ่งรถจะออกในอีก 1 5 นาที  และเมื่อไปถึงก็ใข้รถไฟที่วิ่งบริการระหว่าง terminal เพื่อเดินทางจาก 1 ไปยัง 2 ทำให้มาถึงสนามบินได้ทันเวลาแบบไม่ต้องเครียดมากนัก หลังจาก check in แล้วก็เดินไปหาจุดสำหรับขอคืนภาษี  ซึ่งมี Kios สำหรับกรอกข้อมูลเบื้องต้น (มีเมนูภาษาไทยให้เลือกด้วย) จากนั้นก็เข้าไปติดต่อเพื่อรับเงินได้ที่อีก office บริเวณหน้า Gate  นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก ทริปสิงคโปร์ของผมปิดลงด้วยการใช้เศษเหรียญที่เหลือจากการใช้จ่ายในการซื้อโน่นซื้อนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่อง  นับเป็นอีกทริปที่มอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้หลายอย่าง   จบทริปแล้วก็ได้คำตอบให้กับตัวเองครับว่า “ทำไมใคร ๆ เขาก็มาสิงคโปร์ ” … พบกันใหม่ทริปหน้าครับ 🙂