Select Page

เขาใหญ่ Family Trip

ทริปเขาใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะโปรสุดห้ามใจของการบินไทย ที่ลดกระหน่ำค่าตั๋วไป-กลับภูเก็ตกรุงเทพฯ ในเดือนกันยายนเพียง 1,450 ต่อคน ทำให้นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้พาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนกันอีกครั้ง ผมเองไม่ได้ไปเขาใหญ่มาหลายปีแล้ว และครั้งสุดท้ายที่ไปก็ยังไม่มีรีสอร์ทสวย ๆ มากนัก อีกทั้งตอนนั้นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ก็ยังไม่เกิด (จะว่าไปแล้วเจ้าของรีอสอร์ทสวย ๆ อาจยังไม่เกิดด้วยมั้ง อิอิ … นี่เราแก่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย) … การไปรอบนี้ก็เพื่อจะได้ update ตัวเองให้คุยกับชาวบ้านรู้เรื่องซะที ว่า Palio เขาใหญ่นั้นมันน่ารักน่าเข้าไปชมขนาดไหน smoke house นี่อาหารอร่อยจริงหรือเปล่า … ถ้าอยากรู้ก็ตามผมมาเลยครับ

เนื่องจากปีนี้ใช้วันลากับทริปต่าง ๆ ไปเยอะแล้ว ผมจึงเลือกเดินทางในวันศุกร์-อาทิตย์เพื่อที่จะได้ลาเพียงวันเดียว แม้จะรู้ว่าช่วงวันหยุดนั้นเขาใหญ่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและค่าที่พักก็จะแพงกว่าวันปกติมากพอสมควร แต่จ่ายค่าที่พักเพิ่มคงดีกว่าตกงานเป็นแน่แท้ อิอิ …ทริปนี้จึงเป็นการออกเดินทางจากภูเก็ตเช้าตรู่วันศุกร์และกลับค่ำวันอาทิตย์ รวม 3 วัน 2 คืนเต็ม สมาชิกร่วมทริปนี้มีตั้งแต่เด็ก, สตรีและคนชรา … ขอเคลียร์ก่อนว่าคนชรานั้นหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หมายถึงผม แต่ไม่กล้าใส่วัยรุ่นเข้าไปด้วย กลัวมีคนค่อนแคะ หุหุ …

พวกเรามาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเกือบ 9 โมง โดยมีรถตู้ที่ติดต่อไว้มารอรับและออกเดินทางสู่เขาใหญ่ทันที … ผมนั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปบนรถตู้ซึ่งขับฝ่าฝนที่ตกปรอย ๆ สู่เขาใหญ่ โดยใช้เวลาราวสองชั่วโมงเศษก็ถึงร้านครัวเขาใหญ่ซึ่งเป็นร้านที่เราจะฝากท้องมื้อแรกของทริป …

ที่ร้านมีที่นั่งเยอะมาก บ่งบอกว่าเป็นร้านที่น่าจะมีชื่อเสียงร้านหนึ่งของที่นี่ และวันนี้ก็มี group ใหญ่มาทานอาหารเที่ยงพร้อม ๆ กับเราทำให้บรรยากาศดูคึกคัก … เมนูแนะนำเกือบทุกรายการของที่นี่ถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ อาทิ ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมพริกไทย, แฮมซี่โครงอ่อน, ผัดต้นอ่อนทานตะวัน …

รสชาติอาหารโดยรวมก็ถือว่าไม่เลวครับโดยเฉพาะแฮมซี่โครงอ่อน ออกจะผิดหวังเล็กน้อยกับปลาเนื้ออ่อนที่ผมว่ารสชาติธรรมดา ๆ และแพงไปหน่อยเมื่อเทียบกับปริมาณ … อิ่มหนำกันแล้วก็ซื้อน้อยหน่าหนังต้นตำหรับเพชรปากช่องกันสนุกสนานที่ซุ้มขายผลไม้หน้าร้านครัวเขาใหญ่นั่นเอง เพราะหน้อยหน่าแบบที่สุกพร้อมทานราคาแค่กก.ละ 30 บาท ถูกกว่าบนเกาะบ้านผมเยอะ อิอิ

มื้อแรกที่ครัวเขาใหญ่

ออกจากครัวเขาใหญ่ก็มุ่งหน้าไปยังจุดท่องเที่ยวอันโด่งดังนั่นคือ “ปาลิโอเขาใหญ่” … ผมวางแผนเข้าชมปาลิโอในวันศุกร์เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวที่มักจะมากันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดครับ นักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา แต่เสียดายที่มีฝนตกปรอย ๆ ฟ้าก็เลยค่อนข้างปิดถ่ายภาพได้ไม่ค่อยสวยนัก …

พูดถึงการตกแต่งของที่นี่ทำได้ดีทีเดียวครับ ร้านค้าขนาดย่อมที่ถูกจัดวางสองข้างซอยเล็ก ๆ โดยมีจัตุรัสอยู่ตรงกลาง ให้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แถบยุโรป จึงไม่แปลกใจว่าสถาปัตยกรรมของที่นี่จึงถูกกับจริตนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอย่างมาก .. ผมใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บภาพบรรยากาศของหลานตัวน้อยที่มี background เป็นร้านค้าน่ารัก ๆ ซึ่งใช้เวลาเดินไม่นานสามารถเก็บภาพได้แทบทุกซอกซอยเพราะอันที่จริงแล้วสถานที่ไม่ได้ใหญ่โตสักเท่าไหร่ จากนั้นเราจึงเดินทางเข้าที่พักกันเพราะฝนมีทีท่าว่าจะตกหนักมากขึ้น

บรรยากาศน่ารักที่ Palio

คืนแรกที่เขาใหญ่เราพักกันที่ Khaoyai Paradise on Earth ซึ่งอยู่ในซอยที่ต้องเข้าไปจากถนนใหญ่ราว 5 กม. ซึ่งไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ สำหรับคนที่เช่ารถขับ แต่ถ้ามากับรถประจำทางก็อาจจะเข้าถึงยากสักหน่อย … รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่ริมธารน้ำซึ่งวันนี้น้ำขึ้นสูงมาก จนท่วมพื้นศาลาริมน้ำเลยทีเดียว (แอบเสียวเหมือนกัน กลัวท่วมห้องพัก อิอิ) …. บรรยากาศโดยรวมก็ร่มรื่นดี โดยพวกเราพักกันที่ห้องแบบ Villa 2 หลังซึ่งอยู่ติดกับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ (ทั้งรีสอร์ทมีที่พักแบบ Villa 3 หลัง ที่เหลือเป็นห้องพักแบบอื่น) เนื่องจาก Villa อีกหลังไม่มีคนพัก สระว่ายน้ำก็เลยเหมือนเป็นสระส่วนตัวของกรุ๊ปเราไปเลย … แม้จะเป็น Villa แต่ภายในห้องพักการวางเตียงนอนนั้นเหมือนห้องพักอุทยาน คือเตียงวางเรียงกัน 3-5 เตียงโดยไม่แบ่งเป็นห้องย่อย ดังนั้นสำหรับคู่ฮันนีมูนแนะนำให้เลือกห้องพักแบบอื่นนะครับ อิอิ

พักผ่อนในรีสอร์ท

เราใช้เวลาพักผ่อนกันจนได้เวลาอาหารค่ำก็ออกเดินทางไปทานอาหารค่ำตามคำแนะนำของเพื่อนผองน้องพี่ที่ร้าน “บ้านรมควัน” – Smoke house … แอบเคืองเล็กน้อยที่ไม่มีพนักงานนำร่มมารับคณะของเราที่ต้องลงรถและเดินฝ่าฝนขึ้นบันไดหลายขั้นเข้าไปในร้าน ในขณะที่อีกกรุ๊ปมีพนักงานถือร่มคันใหญ่มารับถึงประตูรถ ได้ยินคนในกรุ๊ปเรียกกันว่า “ท่าน” … ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร้านนี้ยินดีบริการเฉพาะ “ท่าน” หรือเปล่า …

เราได้ทำเลกันที่ชั้นบนของร้าน ผมใช้เวลาขณะที่คนอื่นกำลังเลือกเมนูสำหรับมื้อค่ำถ่ายภาพบรรยากาศไปเรื่อย ๆ … วันนี้คนในร้านก็ค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่ส่วนใหญ่อยู่กันที่ชั้นล่างซึ่งมีดนตรีสดบรรเลงให้ฟังขณะเพลินกับรสชาติอาหาร …. เมนูหลาย ๆ อย่างถูกสั่งมาผลัดกันลิ้มลอง ซึ่งรสชาติอาหารถือว่าดีเลยทีเดียว portion ของอาหารก็สมกับราคาสำหรับร้าน fine dining แบบนี้ จะว่าไปราคาน่าจะประมาณ 2.5 เท่าของร้านทั่วไปและถูกกว่าโรงแรม 5 ดาวอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง … มื้อนี้ถึงแม้ราคารวมจะสูงกว่ามื้อกลางวันเกือบสามเท่าแต่ก็แลกกับบรรยากาศดี ๆ และรสชาติที่ถูกใจสมาชิกในกลุ่ม (ไม่รวมการต้อนรับก่อนเดินเข้าร้าน หุหุ) …เสร็จจากมื้อค่ำเราใช้เวลาไม่กี่นาทีเราก็กลับถึงที่พักเพื่อพักผ่อนท่ามกลางความสดชื่นของสายฝนที่ตกลงมาขับกล่อมเราตลอดคืน

มื้อค่ำที่ Smoke house

ยังไม่ทันที่จะเขียนรีวิวนี้เสร็จ ก็ได้ข่าวว่าร้าน Smoke house ได้ถูกปิดตัวลงแล้วเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2556 หลังการไปเยือนของพวกเราเพียงไม่ถึงเดือน ก็คงต้องดูกันต่อไปครับว่าสถานที่สวย ๆ แห่งนี้จะถูกนำมาดำเนินการต่อโดยใคร และจะยังคงเป็นร้านอาหารชื่อดังของเขาใหญ่ได้ดังเดิมหรือไม่

เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันอย่างไม่เร่งรีบ … หลังจากทานอาหารเช้าที่จัดแบบเรียบง่ายของรีสอร์ทแล้วก็ได้เวลาเที่ยวต่อ ซึ่งโปรแกรมแรกของวันนี้คือเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ … จากที่พักเพียงไม่ไกลก็ถึงด่านทางเข้าอุทยาน จากจุดนี้รถค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงทีละน้อย ผ่านเส้นทางที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งยังคงความเป็นป่าอย่างแท้จริง … เราแวะพักชมวิวถ่ายภาพกันครู่หนึ่งที่จุดชมวิวกม. 30 ก่อนที่จะมุ่งหน้าผ่านที่ทำการอุทยาน ซึ่งจากจุดนี้จะเริ่มเห็นสัตว์ประเภทเก้ง กวางให้ได้ตื่นตาตื่นใจกัน … เป็นคนละพันธุ์กับที่เห็นในเมืองใหญ่นะครับ อิอิ … โดยเฉพาะที่ทุ่งหญ้าห่างจากที่ทำการอุทยานไปไม่ไกล จะพบกวางออกมาหาอาหารกิน เรียกเสียงฮือฮาจากคณะได้เป็นระยะ ๆ …

จุดหมายของผมคือน้ำตกเหวสุวัตซึ่งอยู่ห่างจากตัวที่ทำการอยุทยานไปพอสมควร แต่เมื่อไปถึงเรากลับได้ชมเพียงสายน้ำตกที่ไหลแรงลงจากหน้าผาจากระยะไกล เพราะทางอุทยานไม่อนุญาตให้เข้าไปชมด้านล่างเนื่องจากน้ำแรงมากและอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ผมจึงทำได้เพียงถ่ายภาพไม่กี่ภาพแล้วก็เดินทางกลับออกจากอุทยาน

เข้าชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

ลงจากอุทยานก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี จึงแวะที่ร้านครัวหญ้าคาซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากทางเข้าอุทยาน โดยร้านนี้ก็ได้รับการแนะนำจากมิตรสหายเช่นกัน เมนูเด็ดคือส้มตำไก่ย่างซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ รสชาติดีทีเดียว ราคาไม่แพง เสียดายที่ส้มตำแต่ละจานน้อยไปหน่อยก็เลยต้องสั่งกันหลายจานกว่าจะอิ่ม อิอิ

มื้อเที่ยงที่ครัวหญ้าคา

เติมพลังกันแล้วก็เดินทางไป Sheep land ตามคำเรียกร้องของหลานสาวที่อยากให้นมแกะ (หลังจากติดใจการให้นมปลาคราฟที่พัทยามาแล้ว) … ก่อนเข้าชมฟาร์มก็แวะทานกาแฟใส่นมแกะแทนนมวัวกันคนละแก้ว รสชาติจะออกมัน ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ไม่คาวอย่างที่กังวล … เมื่อซื้อตั๋วเข้าชมแล้วก็ได้เวลาสนุกของหลานที่จะได้ป้อนนม ป้อนหญ้า (ต้องซื้อเพิ่ม) ให้กับน้องแกะ ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ สีขาว สีดำ …

ความสุขและสนุกสนานเกิดขึ้นบนพื้นที่เล็ก ๆ กับน้องแกะไม่กี่ตัว แต่ก็เรียกรอยยิ้มจากเด็ก ๆ ได้ไม่น้อย สำหรับผมก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นนัก ที่ชอบสุดเห็นจะเป็นเจ้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มที่เวลามันเดินมาทีเด็ก ๆ ก็ต้องคอยวิ่งหลบเพราะมันจริงจังกับการกินหญ้าในมือเด็ก ๆ มาก … สำหรับคนที่อยากได้ของที่ระลึกก็มีช็อปเล็ก ๆ หลายร้านให้ได้เลือกซื้อกันครับ รับรองว่าได้ใช้เงินสมใจ คริคริ

เด็ก ๆ สนุกสนานที่ Sheep Land

ออกจาก Sheep land แล้วยังพอมีเวลาเหลือ เราก็เลยแวะไปเยี่ยมรีสอร์ทคุณสงกรานต์ ที่โบนันซ่าเขาใหญ่กันหน่อย … เอ่อ…ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวนะครับ แค่อยากแวะไปดู เผื่อเจอคุณแอฟ ภรรยาของคุณสงกรานต์ อิอิ … ทางเข้าไปรีสอร์ทช่วงต้นค่อนข้างวิบากน่าดู ทำเอาผมเกือบสั่งรถถอยหลังกลับเลยทีเดียว แต่ถนนมันแคบกลับรถลำบากก็เลยไปต่อ หุหุ …

ใช้เวลาราว 20 นาทีจากถนนใหญ่ก็ถึงโบนันซ่าครับ ในส่วนของที่พักนั้นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ดูแล้วคงเป็นกรุ๊ปของบริษัทมาทำกิจกรรม ในส่วนของเครื่องเล่นที่อยู่เลยไปเล็กน้อยดูเงียบเหงา หรือจะเรียกว่าร้างก็ได้ครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าปกติแล้วคนนอก (ที่ไม่ได้พักที่นั่น) สามารถเข้ามาใช้บริการได้หรือเปล่า …

เมื่อไม่มีอะไรตื่นเต้นทำก็เลยขับรถเลยไปอีกหน่อยเพื่อชม The Panther Creek ซึ่งวันนี้มีกรุ๊ปเข้ามาเหมาที่พักเช่นกัน เราจึงขออนุญาตเข้าชมสถานที่และเก็บบรรยากาศแบบคาวบอย ๆ ของสถานที่ นับเป็นอีกที่หนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ดีครับ

แวะถ่ายภาพที่ The Panther Creek

ออกจาก Panther Creek ก็ได้เวลาเดินทางไปยังที่พักของคืนนี้ซึ่งอยู่ที่ปากช่อง โดยรีสอร์ทแห่งนี้มีชื่อว่า “ภูชิดตะวัน” … ที่จองที่นี่เพราะมีห้องพักที่ออกแบบเป็นหลังเล็ก ๆ น่ารัก ๆ สีสันสวยงามเหมาะกับการถ่ายภาพ แต่คณะของเราเลือกพักกันที่บ้านพักหลังใหญ่ (เข้าใจว่าคงเป็นบ้านเดิมของเจ้าของมั้ง) ที่ไม่ได้มีการตกแต่งสไตล์นี้แต่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าและรองรับทั้ง 8 คนของคณะเราได้สบาย ๆ … ส่วนการถ่ายภาพก็ไม่มีปัญหาสามารถเดินไปถ่ายภาพหน้าห้องพักคนอื่นได้ อิอิ …

รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากตัวปากช่องไปไม่ไกลนัก ป้ายบอกทางของรีสอร์ทมีให้เห็ฯเป็นระยะ แต่จะหายากหน่อยเพราะป้ายเล็กกว่าชาวบ้าน (ป้ายมีสัญลักษณ์รูปกังหันลม) ถ้าจะให้ง่ายให้หาป้ายของ “ภูตะวัน” รีสอรท์ซึ่งป้ายจะใหญ่กว่า เพราะรีสอร์ทดังกล่าวอยู่ในซอยเดียวกันเลยภูชิดตะวันแต่เลยเข้าไปอีก ดังนั้นตามป้ายของรีสอร์ทนี้จะสะดวกกว่า …

สำหรับคนที่ขับรถมานั้นให้ทำใจกับทางขึ้นรีสอร์ทช่วง 300-400 เมตรสุดท้ายหน่อยนะครับ ทางค่อนข้างชันและขรุขระพอสมควร แต่ก็เป็นช่วงสั้น ๆ ครับ เรา check in กันเรียบร้อยก็ออกเดินทางเข้าเมืองปากช่องเพื่อไปทานมื้อค่ำที่ “บ้านไม้ ชายน้ำ” ร้านอาหารอันโด่งดังสุดคลาสสิคของปากช่อง ที่ร้านแห่งนี้ถูกตกแต่งไปด้วยของเก่าคลาสสิคมากมาย ร้านตั้งอยู่ริมน้ำทำให้สามารถทานอาหารไป ชมบรรยากาศไป เพลินอย่าบอกใคร .. แต่สำหรับค่ำคืนนี้ไม่ค่อยมีใครกล้านั่งริมน้ำเพราะฝนที่ตกหนักมาตลอดหลายวันทำเอาเรือนที่อยู่ล่างสุดโดนน้ำท่วมไปเลย แถมกระแสน้ำยังเชี่ยวกรากอีกต่างหาก เราจึงเลือกที่นั่งด้านบน แบบว่าปลอดภัยไว้ก่อน หุหุ …

เมนูอาหารถูกเลือกมาแบบหลากหลายเช่นเคย รสชาติอาหารนั้นอร่อยสมคำร่ำลือครับ ราคาอยู่ในเกณฑ์ปานกลางไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงเวอร์ ได้ชมของสวย ๆ งาม ๆ ที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ก็นับว่าคุ้มค่ามากครับสำหรับค่ำคืนนี้

มื้อค่ำแสนอร่อยที่ “บ้านไม้ ชายน้ำ”

เช้าวันรุ่งขึ้นโปรแกรมเรามีเพียงเข้าชมฟาร์มโชคชัยเท่านั้น เราจึงออกจากรีสอร์ทกันสาย ๆ โดยเก็บภาพกันเล็กน้อยที่หน้าห้องพักทุกหลังของรีสอร์ท (อันที่จริงก็มีเพียง 7-8 หลังเท่านั้น) …

ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ “ภูชิดตะวัน”

ก่อนถึงฟาร์มโชคชัยก็แวะไปเสียเงินกันคนละนิดหน่อยที่ outlet อิอิ.. ที่ฟาร์มโชคชัยเราทานอาหารเที่ยงกันที่โชคชัยเสต็กเฮ้าส์ก่อนที่จะเข้าชมฟาร์ม อาหารที่นี่รถสชาติดีครับ ราคาก็เหมาะสมกับตัวร้าน อาจลำบากหน่อยสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องเดินขึ้นลงบันได ในกรณีที่ที่นั่งด้านบนเต็ม

มื้อเที่ยงที่โชคชัยเสต็กเฮ้าส์

ทัวร์ฟาร์มโชคชัยเริ่มต้นด้วย VDO แนะนำประวัติต่าง ๆ และที่เขาจะเน้นมากเห็นจะเป็นกิจกรรม CSR เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ … ว่ากันตรง ๆ Presentation ควรทำได้ดีกว่านี้ (อีกมาก) เพราะภาพลักษณ์ของฟาร์มโชคชัยน่าจะเป็นเรื่องของกิจกรรมกลางแจ้งที่โลดโผน ท้าทาย สนุก แต่ presentation ออกแนวชีวประวัติที่ดูแล้วน่าเบื่อ ระบบเสียงและคุณภาพของ projector ก็ไม่สามารถเรียกความกระหายในการเข้าชมฟาร์มได้เลย

จากห้องฟัง presentation ก็จะเป็นการสาธิตเรื่องการเก็บน้ำเชื้อเพื่อผสมเทียม, การรีดนมวัว, พาชมส่วนของที่พักแบบ camping และการแสดงของคาวบอย จบด้วยชมสวนสัตว์ หรือน่าจะเรียกคอกสัตว์มากกว่า … โดยรวมก็ถือว่า ok สำหรับเด็ก ๆ ครับ แต่สำหรับผู้ใหญ่ผมว่าจืดไป พนักงานโดยรวมขาด energy ในการปฏิสัมพันธ์ (ทุกคนยิ้มแย้มดีครับ แต่ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกว่าเขาไม่ค่อย proud ไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการทำหน้าที่นัก) …

ก็คงเป็นโจทย์ที่ผู้บริหารคงต้องนำไปคิดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำได้ดีกว่านี้ เพราะการท่องเที่ยวคือหนึ่งในรายได้ที่สำคัญของฟาร์มโชคชัยแล้วนี่ครับ

บรรยากาศเยี่ยมชมฟาร์มโชคชัย

ออกจากฟาร์มโชคชัย … เราอำลาเขาใหญ่ด้วยการแวะซื้อผลไม้เป็นของฝากเพื่อน ๆ ที่ตลาดผลไม้ เลยจากฟาร์มโชคชัยมาไม่ไกลนัก … นับเป็นอีกทริปเล็ก ๆ ที่ทำให้วันหยุดสั้นๆ เป็นวันครอบครัวที่อันแสนอบอุ่นสำหรับพวกเราทุกคน

ข้อมูลเพิ่มเิติม

ที่พัก KhaoYai Paradise on Earth : website http://www.khaoyaiparadiseonearth.com/ แต่ผมจองผ่าน Agoda เพราะมีโปรโมชั่นที่ราคาถูกกว่าเวปของโรงแรมครับ (ห้องที่ผมพักชื่อ เรือนไม้ห้อม กับ เรือนน้ำตก  พักได้ 5 และ 3 คนตามลำดับ)  หลังใหญ่สุดชื่อเรือนประธานครับ

ที่พัก ภูชิดตะวัน : website http://www.phucittawan.net/ ผมจองโดยตรงกับที่รีสอร์ทเลย เบอร์โทร 084-3612-322 (หลังที่ผมพักชื่อบ้านเก็บดาว พักได้สูงสุด 10 คน  มีห้องโถงและครัว สภาพกลางเก่ากลางใหม่ แต่กว้างขวางดี  ถ้าอยากพักแบบน่ารัก ๆ ให้เลือกหลังอื่นครับ)

รถตู้ (1800 บาทต่อวัน ไม่รวมน้ำมัน) : คนขับคุณตั้ม 082-571 8051 ขับรถปลอดภัยและสุภาพดีครับ  หรือจะติดต่อคุณชนน เจ้าของบริษัท 081-632 6231 สำหรับข้อมูลท่องเที่ยวก็ต้องขอบคุณ pantip.com ที่ซึ่งรวมข้อมูลท่องเที่ยวเขาใหญ่ไว้มากมาย  และที่ขาดไม่ได้คือผองเพื่อน และพี่น้องที่แนะนำจุดท่องเที่ยวและร้านอาหารเด็ด ๆ ให้ครับ