Select Page

Small trip, big proud – ทริปแทนคุณ

เป็นความตั้งใจมาพักใหญ่ ๆ แล้วว่าอยากมีทริปพาคุณพ่อคุณแม่ขับรถเที่ยวชมดอกไม้สวย ๆ และทะเลหมอกสักครั้งที่เชียงใหม่ เพราะคุณพ่อชอบดอกไม้ และก็อยากให้คุณแม่ได้เจออากาศหนาว ๆ เพราะที่บ้านเปิดแอร์จนคุณพ่อคลุมโปงแล้ว คุณแม่ก็ยังนอนเหงื่อแตกอยู่เลย … ในที่สุดปีนี้ก็ได้โอกาสเยือนเมืองเหนืออันทรงเสน่ห์แห่งนี้พร้อม ๆ กับคุณพ่อคุณแม่ หลังจากที่คว้าตั๋วราคาโปรโมชั่นข้ามปีจากหางแดงมาได้ตั้งแต่ปีก่อน โดยพยายามเลือกช่วงที่มีคนไม่เยอะเกินไปและเป็นช่วงที่มีโอกาสได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย ซึ่งก็คือสัปดาห์ที่สองของเดือนมกรานั่นเอง

โปรแกรมของทริปนี้จัดแบบไม่สมบุกสมบันนักและเน้นที่พักตรงใกล้จุดชมวิวหรือจุดท่องเที่ยวมากที่สุดเพื่อไม่ให้พ่อกับแม่ซี่งมีอายุมากแล้วต้องเหนื่อยเกินไป แต่ก็ไม่วายเปลี่ยนที่พักทุกวันตามสไตล์การเที่ยวแบบ “นายมด” … ประมาณว่าละโมบอยากได้ที่เที่ยวเยอะ ๆ ว่างั้นเถอะ

เราออกเดินทางจากภูเก็ตตรงไปยังเชียงใหม่ด้วยสายการบิน Air Asia โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ซึ่ง Flight ของเราไปถึงเชียงใหม่ราวเที่ยงครึ่งอันเป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี … หลังจากรับรถจาก Sixth (Master car rental) แล้วก็ขับเจ้า Fortuner ที่จะเป็นพาหนะคู่ใจสำหรับทริปนี้ตรงเข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อทานข้าวซอย ณ ร้านที่พนักงานส่งรถแนะนำ … กว่าจะหาร้านเจอก็วนอยู่นานเพราะพนักงานชี้จุดในแผนที่ผิดซะงั้น 🙁 … เนื่องจากรสชาติอาหารไม่ประทับใจเท่าที่ควร ขออนุญาตไม่ลงชื่อร้านละกันครับ ใบให้ว่ามีหลายสาขาก็แล้วกัน อิอิ

หลังจากเติมพลังมื้อเที่ยงแล้ว ผมเลือกที่จะพาลูกทัวร์อันเป็นที่รักไปไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยก่อน โดยเลือกไปวัดพระสิงห์อันเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเชียงใหม่นั่นเอง … แม้ว่าจะผ่านช่วงพีคของเชียงใหม่ไปแล้ว แต่ที่วัดก็ยังคลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ ส่วนผมก็เดินถ่ายภาพไปรอบ ๆ เพราะนาน ๆ จะได้มีโอกาสถ่ายภาพวัดสไตล์ล้านนาที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงแบบนี้

“คืนสงบเงียบที่แม่ริม”
หลังจากไหว้พระกันสบายใจแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปแม่ริม อันเป็นที่พักของเราคืนนี้ ที่ผมเลือกแม่ริมเพราะมีรีสอร์ทสงบ ๆ บรรยากาศดีให้เลือกมากมาย และอยู่ใกล้กับจุดหมายแรกของเราในวันพรุ่งนี้ นั่นก็คือ “ม่อนแจ่ม” นั่นเอง

ใช้เวลาขับรถแบบไม่รีบร้อนราวครึ่งชั่วโมงผมก็ถึงแม่ริม ทั้งนี้รีสอร์ทที่พักของเราชื่อ At Nata ซึ่งอยู่ห่างจากถนนหลัก เข้าไปตามเส้นทางสาย แม่ริม-สะเมิง พอประมาณ เป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก ตกแต่งแบบน่ารัก ๆ ตั้งอยู่ติดลำธาร คล้าย ๆ กับรีสอร์ทอื่น ๆ แถบแม่ริม … ห้องพักของเราวันนี้เป็นแบบ Villa story ซึ่งมีอยู่เพียงหลังเดียว เหมาะสำหรับ 4 คน โดยมีสองชั้น 1 ห้องน้ำ ราคาก็ถือว่าไม่แพงครับ 3,000 บาทสำหรับช่วง high season แบบนี้

สิ่งอำนวยความสะดวกของรีสอร์ทก็มีสระว่ายน้ำส่วนกลาง ที่เหมือนเอาน้ำในตู้เย็นมาใส่ในสระเลยสำหรับหน้าหนาวแบบนี้ หุหุ … แต่ก็มีห้อง Sauna บริการช่วยคลายหนาวได้เช่นกัน … สำหรับห้องอาหารมองเห็นวิวลำธารสบายตาดีครับ

บรรยากาศในรีสอร์ท

คืนแรกเป็นด่านแรกของการทดสอบระดับความทนต่ออากาศหนาว ซึ่งดูเหมือนพ่อของผมจะได้คะแนนน้อยสุดเพราะรู้สึกหนาวตั้งแต่ยังไม่ค่ำเลย ก็เลยต้องสวมเสื้อ-กางเกงซะ 2 ชั้น … ส่วนสำหรับคนอื่น ๆ อากาศกำลังเย็นสบาย 55

มื้อเย็นผมตั้งใจว่าจะไปทานที่ร้านโป่งแยงแอ่งดอยซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อยบนถนนเส้นนี้ แต่ปรากฏว่าคืนนี้ทางร้านปิดเลี้ยงพนักงานซะงั้น ก็เลยต้องย้อนกลับเข้าไปกินข้าวริมทางที่ตัวอำเภอแม่ริม เนื่องจากตลอดสองข้างทางแทบจะไม่มีร้านอาหารเปิดให้บริการเลยบนถนนเส้นสายแม่ริม-สะเมิง 🙁 … นี่ถ้าเป็นภูเก็ตบ้านผมนี่เวลาทุ่มนึงคือช่วงกำลังพีคเลยทีเดียว หุหุ

กลับจากมื้อคำก็เป็นเวลาพักผ่อน ค่ำคืนแรกของทริป ภายใต้บรรยากาศเย็น ๆ และเงียบสงบกับครอบครัวที่รักช่างเป็นคืนที่มีความสุขจริง ๆ

ใคร ๆ ก็ไป “ม่อนแจ่ม”
วันนี้เราตื่นกันค่อนข้างเร็ว เพื่อทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทก่อนที่จะขับรถขึ้นไปชม “ม่อนแจ่ม” อันโด่งดังกัน … ผมขับรถออกจากรีสอร์ทราว 7:30 ไปตามเส้นทางที่ไป โป่งแยงแอ่งดอย เมื่อวาน แต่ต้องขับเลยไปเล็กน้อยจึงจะถึงแยกเข้าม่อนแจ่ม ทั้งนี้มีป้ายเขียนไว้ชัดเจน .. รถค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยสองข้างทางมีแปลงปลูกสตอเบอร์รี่และรีสอร์ทเปิดใหม่หลายแห่งที่คอยรองรับนักท่องเที่ยวซึ่งมาเยือนม่อนแจ่ม … ช่วงสุดท้ายก่อนถึงม่อนแจ่มเป็นทางลูกรังค่อนข้างชัน แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับ Fortuner และก็ถือว่าเบบี้มากเมื่อเทียบกับทริปอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ อิอิ

บรรยากาศยามสายที่ม่อนแจ่ม

ช่วงนี้เป็นช่วงเลยพีคของ “ม่อนแจ่ม” ไปแล้ว ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับบางตา … ภาพของม่อนแจ่มตรงหน้าไม่ผิดกับที่ผมคาดไว้นัก เพราะเคยเห็นมาบ้างแล้วทาง internet ตอนหาข้อมูล … จะว่าไปที่นี่ยังสวยงามน้อยกว่าสวนดอกไม้บนดอยอื่น ๆ อีกหลายแห่ง แต่บรรยากาศที่มองเห็นทะเลภูเขาสุดลูกหูลูกตา ก็ทำให้คนเมืองมีความสุขมากแล้ว ยิ่งได้นั่งจิบกาแฟร้อน ๆ มองแปลงดอกไม้ไป ชมวิวไป ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว หากใครมีโอกาสขึ้นมาช่วงเช้ามาก ๆ ผมคิดว่าน่าจะสวยไม่น้อยโดยเฉพาะวันที่มีทะเลหมอก

ขาลงจาก “ม่อนแจ่ม” ก็ไม่ลืมที่จะแวะชิมองุ่นที่สวนเอเดน

“อ่างขาง” แดนมหัศจรรย์
ลงจากม่อนแจ่ม เราแวะซื้อสตรอเบอร์รี่สด ๆ ริมทางทานกันเพื่อให้ได้บรรยากาศเที่ยวเชียงใหม่ จากนั้นก็ไป check out และเดินทางมุ่งตรงสู่จุดหมายต่อไป … “ดอยอ่างขาง” ที่ซึ่งถูกเรียกว่า “แดนมหัศจรรย์”

ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 สำหรับผมแล้วที่ขึ้นดอยอ่างขาง ดังนั้นเส้นทางที่ดูเหมือนจะไกลและสูงชันของทางขึ้นดอยแห่งนี้จึงไม่ทำให้ลำบากนัก แม้ต้องขับรถรวม ๆ เกือบ 200 กม.จากแม่ริมก็ตาม … ก่อนถึงสถานีเกษตรหลวงอ่างขางซึ่งเป็นที่พักของเราคืนนี้ ระหว่างทางเต็มไปด้วยต้นนางพญาเสือโคร่ง แต่น่าเสียดายที่ปีนี้อากาศคงไม่เป็นใจ ทำให้ดอกออกไม่มากนัก ส่วนต้นที่พอมีดอกก็เริ่มมีใบอ่อนแซมแล้วทำให้สีสันไม่สดใสเท่าที่ควร แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะลงไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก

หลังจากเก็บภาพพอหอมปากหอมคอก็มุ่งหน้าไปยังสโมสร ซึ่งเป็นจุดติดต่อห้องพัก และเป็นที่ฝากท้องมื้อเที่ยงของเราในวันนี้ด้วย … อาหารมื้อนี้ถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ หลากหลายไปด้วยเมนูแนะนำต่าง ๆ ซึ่งถูกปากที่สุดคงหนีไม่พ้นสลัดอ่างขาง … เมนูนี้นี่เองทำให้ผมเริ่มทานผักและสลัดมากขึ้น หลังจากได้ลิ้มลองครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ใครไม่ชอบทานผักผมแนะนำให้ไปทานสลัดอ่างขางนะครับ รับรองว่าจะเปลี่ยนใจ อิอิ

ราคาอาหารที่สโมสรถือว่าไม่แพงมากนัก ถ้าไม่สั่งจานพิเศษอย่างปลาเทร้าซึ่งราคาค่อนข้างสูงและรสชาติก็ไม่ได้น่าประทับใจนัก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นปลาแช่แข็งหรือไม่ เพราะเนื้อไม่หวานเท่าที่ควร

เมื่อทานอาหารและนำสัมภาระเก็บเข้าที่พักแล้ว ก็ได้เวลาชมสวนดอกไม้ของอ่างขาง เริ่มจากสวน 80 ซึ่งอยู่ตรงหน้าสโมสรนั่นเอง สวนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้และผักประดับหลายชนิด มีที่นั่งให้ชมสวนอยู่เป็นระยะ เหมาะกับการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก แต่จุดเด่นของที่นี่ในยามนี้หนีไม่พ้นซากุระดอกสีชมพูที่กำลังออกดอกสะพรั่งสวยงามมาก ซึ่งผมมาทราบภายหลังว่าเป็นพันธุ์จากญี่ปุ่น สีสันจะเข้มกว่านางพญาเสือโคร่งของบ้านเรา

ถ่ายภาพกันพักใหญ่ผมก็ขับรถแวะตามสวนดอกไม้ต่าง ๆ ของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นแปลงบ๊วย รวมถึงแปลงผักและดอกไม้บริเวณทางเข้าโครงการ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้ต่าง ๆ กำลังผลิดอกอย่างสวยงาม สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นแดนมหัศจรรย์

ดอกไม้และไม้ประดับที่ำกำลังแข่งกันออกดอก ณ อ่างขาง แดนมหัศจรรย์

หลังจากชมสวนกันจนอิ่มแล้วผมก็พาครอบครัวเข้าที่พัก ซึ่งผมจองไว้เป็นห้องพักในอาคารหอประชุมเนื่องจากบ้านเดี่ยวหลังอื่น ๆ เต็มหมด (เสียดายมาก) .. อันที่จริงห้องพักของหอประชุมก็ไม่เลวครับ สะอาดและกว้างขวางดี แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับผู้ใหญ่ที่เดินไม่สะดวก เพราะอยู่ชั้นสอง ยิ่งอากาศหนาว ๆ แบบนี้คุณพ่อของผมแทบจะก้าวขาไม่ออกก็เลยเหนื่อยหน่อยกว่าจะเดินขึ้นบันไดถึงห้องพัก

ช่วงเย็นผมให้ผู้ใหญ่นอนพักผ่อน ส่วนผมขับรถออกไปเก็บภาพที่จุดชมวิว ที่มองเห็นเส้นทางอันคดเคี้ยวของทางขึ้นสู่ดอยอ่างขาง … ทันทีที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว ผมจึงกลับมารับลูกทัวร์ไปทานมื้อค่ำที่สโมสร บริการเป็นแบบ buffet ในราคาหัวละ 250 บาท ซึ่งก็มีคนมาทานเยอะมาก อาจเป็นเพราะสะดวกกว่าการออกไปทานนอกโครงการนั่นเอง

ภาพช่วงเย็นที่จุดชมวิวก่อนค่ำคืนอันหนาวเหน็บมาเยือน

ค่ำวันนี้ผมหลับอย่างรวดเร็วเพราะเพลียจากการขับรถหลายชั่วโมง มารู้สึกตัวก็ตอนที่เสียงมือถือปลุกให้ลุกไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว … ผมไปถึงตั้งแต่ยังไม่หกโมงครึ่ง ซึ่งค่อนข้างเร็วสำหรับการชมวิวที่นี่ เพราะกว่าจะมองเห็นทางเดินชัดพอที่จะเดินไปได้ก็ต้องรอจนเกือบเจ็ดโมง … จากลานจอดรถใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงจุดชมวิว ซึ่งสามารถมองเห็นพื้นราบด้านล่างได้ โดยมีภูเขาขนาบทั้งสองด้าน … ผมเป็นคนแรกที่ไปถึงจุดชมวิวก็เลยได้เลือกมุมก่อน และเก็บภาพไปเรื่อย ๆ เมื่อฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น แต่ก็รีบเดินกลับออกมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เพื่อไปหามุมอื่นๆ ถ่ายภาพแบบไม่ซ้ำใคร

ผมขับรถไปจนถึงบ้านขอบด้งแล้วก็ขับรถกลับโดยแวะถ่ายภาพตามทางเรื่อย ๆ จากนั้นจึงกลับไปรับลูกทัวร์ทานอาหารเช้า … ซึ่งวันนี้นับเป็นมื้อที่ 3 ณ สโมสรอ่างขาง แต่สลัดก็ยังเป็นพระเอกสำหรับคณะของเราเหมือนเดิม ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังเพลินกับมือเช้า ผมก็ปลีกตัวออกมาถ่ายภาพนกที่มากินน้ำหวานจากเกสรของดอกซากุระ ซึ่งเป็นภาพที่หาดูไม่ได้ง่าย ๆ เลยถ่ายมาได้หลาย shot

บรรยากาศยามเช้าที่อ่างขาง

เราลงกันจากดอยอ่างขางทางเส้นที่จะไปอำเภอฝาง ซึ่งเป็นคนละทางกับขามาที่ใช้เส้นทางผ่าน อ.เวียงแหง, บ้านอรุโณทัย .. เส้นทางขาลงนี้ชันกว่าอีกเส้นมาก หากใครจะใช้เส้นทางนี้ควรมีความชำนาญและใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโค้งหักศอกชัน ๆ หลายโค้ง แต่ที่ผมเลือกเส้นนี้เพราะระยะทางสั้นกว่าและตั้งใจจะไปแวะสวนส้มธนาธรซึ่งอยู่ในเขตอำเภอฝางด้วย จึงค่อนข้างอ้อมหากใช้เส้นทางเดิม

เนื่องจากเป็นขาลงจึงใช้เวลาไม่นานนักลงมาถึงพื้นราบ แต่กว่าจะไปถึงสวนส้มธนาธรก็ใช้เวลามากกว่าที่ผมคิดเนื่องจาก สวนอยู่ห่างออกไปจากตัวเมือฝางหลายกิโล (เดิมทีผมนึกว่าไม่ไกลตัวอำเภอ แต่ที่นั่นกลับกายเป็นแค่สำนักงาน) … ไหน ๆ ก็มาแล้วก็เลยดั้นด้นไปจนถึง และถือโอกาสฝากท้องมื้อเที่ยงที่นั่นเลย … สำหรับตัวสวนส้มเองก็จัดสวนไว้สวยงามเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว มีรถนำเที่ยวในราคาคนละ 30 บาท ซึ่งจะมีคนคอยบรรยายข้อมูลของสวนส้มและพันธุ์ส้มต่าง ๆ ในสวน รวมถึงจอดให้ถ่ายภาพกับต้นส้มแบบใกล้ ๆ รวมถึงบ้านที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครหลาย ๆ เรื่อง … เสียดายที่เรามาถึงช่วงเที่ยงก็เลยไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบเย็นสดชื่นเท่าที่ควร แต่ก็นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนุกทีเดียว

บรรยากาศของสวนส้มธนาธร

จากสวนส้มธนาธร จุดหมายต่อไปคือห้วยน้ำดัง ที่ต้องขับย้อนบนเส้นทางสู่เมืองเชียงใหม่ แต่เลี้ยวขวาซึ่งเป็นแยกไป ปาย-แม่ฮ่องสอน ตรงตลาดแม่มาลัย โดยผมแวะเติมน้ำมัน, ซื้อของที่โลตัส และที่สำคัญแวะหาสกรูแบบ 8 เหลี่ยมเพื่อขันเจ้าขาตั้งกล้องให้แน่น เพราะตั้งแต่มาถึงเชียงใหม่แทบใช้งานไม่ได้ เนื่องจากหัวที่ยึดกล้องหลวม คาดว่าเกิดจากการ load ไว้ใต้เครื่องแล้วโดนกระแทกนั่นเอง

“ห้วยน้ำดัง” … กี่ครั้งก็ยังสวย
ผมมาถึงห้วยน้ำดังราว 5 โมงครึ่ง ซึ่งแสงกำลังสวยพอดี แต่ก็ไม่ได้ถ่ายภาพมากนักเพราะกลัวครอบครัวจะหิวข้าวกัน จึงรีบนำของเข้าห้องพักแล้วขับรถลงไปทานที่ห้องอาหารซึ่งตั้งอยู่เลยจากลานจอดรถตรงจุดชมวิวไปเล็กน้อย … อันที่จริงห้วยน้ำดังนับเป็นจุดท่องเที่ยวที่ผมมาบ่อยที่สุดของเชียงใหม่ก็ว่าได้ เพราะมาเที่ยวเชียงใหม่กี่ครั้งก็บรรจุห้วยน้ำดังไว้ในโปรแกรมเสมอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จองห้องพักในตัวอุทยานได้ เพราะปกติที่พักเต็มจะเร็วมาก และเปิดจองล่วงหน้า 90 วันเท่านั้น ผมจึงต้องยอมอดหลับอดนอนจองห้องพักตอนหลังเที่ยงคืน 90 วันก่อนวันเข้าพัก ซึ่งก็ได้สมใจ หุหุ

ที่พักของเราเป็นบ้านแบบ 3 ห้องนอน อยู่ติดกับหลังที่สวยที่สุด อิอิ (หลังนั้นจองไม่ได้ คงสงวนไว้สำหรับแขก VIP) แต่ถ้าจะดูวิวก็เดินเพียง 100 เมตรก็ถึงจุดชมวิวแล้ว เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นผมจึงเดินฝ่าสายลมหนาวเหน็บไปถ่ายภาพ … แม้จะยังไม่ 6 โมงเช้าแต่นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะแล้ว

ถึงช่วงนี้จะไม่มีฝนตก แต่วิวทะเลหมอกที่ห้วยน้ำดังก็ยังหนาแน่นสวยงามเหมือนเดิม เรียกได้ว่ามาที่นี่ในหน้าหนาวถ้าไม่โชคร้ายจริง ๆ ต้องได้เจอทะเลหมอกสวย ๆ เป็นแน่

ผมเก็บทั้งภาพ ทั้ง clip vdo สั้น ๆ ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จนแสงสีทองสาดส่องไปทั่วบริเวณ … คุณพ่อกับคุณแม่เดินตามมาสมทบตอนเกือบ 7 โมงเช้า ซึ่งแสงกำลังสวยพอดี จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ถ่ายภาพหมู่กับบรรยากาศสวย ๆ เพื่อเป็นการอำลาห้วยน้ำดังแห่งนี้ ที่มากี่ครั้งก็ยังสวยเหมือนเดิม

ทะเลหมอกแสนสวยที่ห้วยน้ำดัง

ออกจากห้วยน้ำดัง ผมขับเลยไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ ปาย-แม่ฮ่องสอน โดยแวะถามนักท่องเที่ยวที่เพิ่งจะกลับออกมาจากขุนแม่ยะ เพื่อขอข้อมูลว่าดอกนางพญาเสือโคร่งที่นั่นบานหรือไม่ เมื่อได้รับการยืนยันว่าบานน้อยมาก ผมจึงเลือกที่จะไม่ขับรถผ่านเส้นทางวิบาก 7-8 กม. แต่เปลี่ยนจุดหมายไปแวะเที่ยวปายแทน

เนื่องจากคุณพ่อเดินไม่ค่อยสะดวก ผมจึงไม่ได้แวะถนนคนเดินของปาย แต่แวะถ่ายภาพที่ coffee in love และจุดท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่เดินไม่ยากแทน … สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากการมาปาย 3-4 ครั้งคือ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เกิดรีสอร์ทใหม่ ๆ และร้านค้ามากขึ้นทุกครั้ง รอบนี้ก็เช่นกัน มีร้านใหม่ ๆ มากมาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหลายร้านเงียบเหงา ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานไหม ถ้ายังทำตามกระแสโดยไม่มีความแตกต่างและทำตลาดให้เข้าถึงลูกค้าคนไทยได้ก็คงจะลำบากในไม่ช้า

แวะชมปาย

หลังมื้อเที่ยงในตัวเมืองปาย ผมขับรถย้อนกลับมาทางห้วยน้ำดังประมาณ 10 กม. เพื่อเลี้ยวขวาไปยัง “ป่าสนวัดจันทร์” ที่พักของเราในคืนนี้ … เส้นทางเพียง 40 กม. แต่กลับใช้เวลาราวชั่วโมงเศษ เพราะถนนทรุดโทรมลงไปมาก คาดว่าคงแทบจะไม่มีการซ่อมแซมเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงที่ทำการป่าไม้ของป่าสนวัดจันทร์ก็รู้สึกหายเหนื่อย เพราะบรรยากาศยังคงดีเหมือนเดิม ไม่พลุกพล่าน ต้นไม้โดยรอบเขียวชอุ่ม มีแนวสนรายล้อมจุดที่เป็นที่พัก ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก ๆ ต่างกับเส้นทางที่เราผ่านมาซึ่งแห้งแล้งสุด ๆ โดยเฉพาะ 10 กมแรกหลังจากเลี้ยวเข้าถนนเส้นนี้

เช้าอันหนาวเหน็บที่ “ป่าสนวันจันทร์”
ห้องพักของเราวันนี้เป็นแบบสองหลังเชื่อมติดกัน ตัวบ้านทำจากไม้สนเข้ากับบรรยากาศ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอากาศเมื่อเช้า 3 องศาเท่านั้น ทำเอาพ่อของผมแทบเป็นลม เพราะดูเหมือนจะหนาวกว่าที่อ่างขางซะอีก ทั้ง ๆ ที่ระดับความสูงน้อยกว่า คืนนั้นคุณพ่อก็เลยต้องเพิ่มความหนาของชุดเข้าไปอีกเพื่อต่อสู้กับความหนาวเหน็บของป่าสนแห่งนี้

มื้อค่ำวันนี้ผมจองมาล่วงหน้าแล้ว เป็นแบบเหมาหัวละ 150 บาทสามารถเติมอาหารได้ไม่จำกัด ซึ่งรสชาติอาหารก็อร่อยดีและพนักงานดูแลดีมาก … ข้าวร้อน ๆ ทานกับผักสด ๆ และน้ำพริกแบบเชียงใหม่ รายล้อมด้วยคนที่เรารัก แม้อากาศจะหนาวเหน็บสักเท่าไร แต่กลับรู้สึกอบอุ่นเกินบรรยายจริง ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นผมเดินเดี่ยวไปยังอ่างเก็บน้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่พัก เพื่อเก็บภาพสวย ๆ ของไอหมอกที่ลอยจากผิวน้ำในอ่างเก็บน้ำ และก็ไม่ผิดหวังได้เก็บภาพไอหมอกสวย ๆ สมใจ โดยมีเพื่อนช่างภาพที่มากับ group tour เป็นเพื่อนถ่ายภาพไม่ให้รู้สึกเหงาวังเวงเกินไป .. จะว่าไปแล้วผมว่าที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้ “ปางอุ๋ง” อันโด่งดัง เพียงแต่อาจยังไม่เป็นที่รู้จักนัก จึงมีเพียงนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่เดินทางมาที่นี่

ผมถ่ายภาพอยู่พักใหญ่จนแสงแดดเริ่มไล่ไอหมอกออกจากผิวน้ำเกือบหมดจึงเดินทางกลับไปร่วมวงอาหารเช้ากับคนอื่น ๆ โดยมื้อนี้ก็เหมาในราคา 100 บาท/คน ซึ่งอาหารก็เป็นข้าวต้มกับกาแฟร้อน ๆ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

ธรรมชาติอันงดงามเหนือเขื่อนเก็บน้ำป่าสนวัดจันทร์

ก่อนกลับก็แวะไหว้พระที่วัดจันทร์

เราโบกมือลาป่าสนวัดจันทร์และขับรถกลับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งผมส่งคนอื่น ๆที่โรงแรม Imm ท่าแพ ส่วนตัวผมก็เอารถไปคืนที่สนามบินเพื่อประหยัดค่ารถไปหนึ่งวัน เนื่องจากวันนี้และพรุ่งนี้เช้าก็เดินเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ ไม่ต้องใช้รถอีกแล้ว

โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งมีถนนคนเดินพอดี และที่เลือกโรงแรมนี้ก็เพราะอยู่สุดถนนคนเดินนั่นเอง คืนนั้นจึงได้เดินชมบรรยากาศอย่างหนำใจและต้องยอมรับว่าถนนคนเดินที่นี่บรรยากาศครึกครื้นมาก ร้านค้าเยอะ มีหลากหลายรูปแบบ และมีการแสดงต่าง ๆ ทั้งพื้นเมืองและประยุกต์มากมายเติมเต็มบรรยากาศให้เมืองแห่งวัฒนธรรมแห่งนี้ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก การได้เดินเที่ยวชมเมืองเชียงใหม่ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยวัดสวยๆ พร้อม ๆ กับบรรยากาศตื่นตาตื่นใจของถนนคนเดิน นับเป็นการปิดทริปเชียงใหม่ที่สุดแสนจะสมบูรณ์

ทริปนี้ได้พาคุณพ่อคุณแม่มาเที่ยว เป็นเหมือนทริปที่ได้ทดแทนพระคุณคนที่เลี้ยงดูเรามา แม้จะเป็นทริปเล็ก ๆ แต่ก็ภูมิใจและมีความสุขจริง ๆ … เจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ 🙂